Last updated ตุลาคม 9, 2021 ago by Thebestedu
น้องๆ หลายคนอาจเคยค้นหาข้อมูลใน Google หรือ Pantip เกี่ยวกับการเรียนต่อเยอรมัน และทราบอยู่แล้วว่า ประเทศเยอรมนีเรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในระดับอุดมศึกษา ในสถาบัน หรือมหาวิทยาลัยของรัฐบาล แต่หากจะได้สิทธิ์เรียนฟรีในเยอรมันนั้น ก็จะมีข้อกำหนด และเงื่อนไขต่างๆ เช่น วุฒิการศึกษาต้องเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาของเยอรมัน ที่สำคัญ หลักสูตรการศึกษาส่วนใหญ่ สอนเป็นภาษาเยอรมัน
เดอะเบสท์ เป็นศูนย์ แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ ที่เห็นถึงคุณภาพ และโอกาสในการเรียน และการทำงานในประเทศเยอรมัน และได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาที่ประเทศเยอรมนีมาบ้างแล้ว แต่อาจจะมีบางเรื่อง ที่น้องๆ หลายคนยังไม่ทราบ ในบทความนี้ ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ จึงได้รวบรวม 12 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเรียนต่อเยอรมัน มีอะไรบ้าง อ่านต่อได้ในบทความเลยค่ะ
12 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเรียนต่อเยอรมัน
ประเทศเยอรมนี หรือ เยอรมัน ชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม มีมหาวิทยาลัยระดับโลกหลายแห่ง อาจารย์ผู้สอนมีประสบการณ์และมีเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่สอนได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงสภาพสังคมที่มีการยอมรับ และเคารพซึ่งกันและกันสูงมาก จึงทำให้ประเทศเยอรมัน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเปิดกว้าง ให้การต้อนรับชาวต่างชาติอย่างดี จึงเป็นเหตุผลที่นักเรียน นักศึกษานานาชาติมากกว่า 357,000+ คน เลือกเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน และเพิ่มขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ประเทศเยอรมัน ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง อุตสาหกรรมระดับนานาชาติหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมยานยนตร์ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศเยอรมัน มั่นใจได้เลยว่า บัณฑิตจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และมีโอกาสในการทำงานในตลาดแรงงานระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ทุกคนสามารถเรียนฟรีในระดับอุดมศึกษา ในสถาบันของรัฐบาล ถ้าผู้เรียนมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
ประเทศเยอรมนี เชื่อว่า การศึกษาไม่ควรเป็นผลิตภัณฑ์ หรือผลผลิตทางการค้า และการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา จะเป็นการสร้างรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศได้ ในอดีตที่ผ่านมา กฏหมายได้กำหนดให้มหาวิทยาลัยของรัฐเรียกเก็บค่าเล่าเรียนในระดับที่ต่ำมาก ประมาณ €1,000 ต่อปี แต่ภายหลังได้ยกเลิกการเก็บค่าเล่าเรียนเกือบทั้งหมดของมหาวิทยาลัยรัฐบาล
มหาวิทยาลัยที่เยอรมนัน เป็น Top มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก และคุณภาพการศึกษามีมาตรฐานระดับโลก มหาวิทยาลัยหลายแห่งในเยอรมันติด 1 ใน 100 อันดับแรกของโลก และการศึกษาของเยอรมันได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ทุกคนสามารถเรียนที่เยอรมันได้โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ชาวเยอรมัน ชาวยุโรป และชาวต่างชาติทุกคน (แน่นอนรวมถึงนักเรียนไทยด้วย) สามารถเรียนในเยอรมันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถเข้าเรียนได้เกือบทุกมหาวิทยาลัยของรัฐบาล
การเข้าเรียนระดับปริญญาตรี | ข้อกำหนด และเงื่อนไขในที่ต้องรู้เบื้องต้น
นักเรียนต่างชาติ (รวมถึงนักเรียนไทย) ที่เรียนจบหลักสูตรมัธยมปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ 6) ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรภาษาไทย หลักสูตร Bilingual และต้องการเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศเยอรมนี ยังไม่สามารถเข้าเรียนได้ทันที เนื่องจาก คุณวุฒิในไทย ยังไม่เทียบเท่าประกาศนียบัตรมัธยมปลายของประเทศเยอรมนี (Abitur) ดังนั้น จะต้องเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อม Studienkolleg ก่อน เพื่อเรียนปรับพื้นฐาน หลังจากนั้น จะต้องเข้าสอบ Feststellungsprüfung (FSP) เป็นการสอบเพื่อวัดระดับคุณสมบัติสำหรับการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี (University Qualification Exam) ซึ่งใบประกาศ FSP สามารถเข้าเรียนได้ทุกมหาวิทยาลัยในเยอรมัน
- สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือ ปวช. ปวศ. | จะต้องเข้าเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อม Studienkolleg ก่อน ซึ่งเป็นหลักสูตรปรับพื้นฐาน ที่เตรียมความพร้อมสำหรับนักศึกษาต่างชาติทั้งเตรียมความพร้อมด้านภาษา และวิชาการเฉพาะด้าน ตามสาขาวิชาที่สนใจ ก่อนที่จะสอบ Feststellungsprüfung (FSP) หรือทำความเข้าใจง่ายๆ คือ หลักสูตร Studienkolleg จะคล้ายกับหลักสูตร Foundation Program ที่ประเทศอังกฤษ โดยหลักสูตร Studienkolleg ก็เป็นหลักสูตรเตรียมความพร้อมในการเข้าเรียนต่อปริญญาตรี คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร Studienkolleg
- นักศึกษาเรียนจบปริญญาตรีปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยไทย | ต้องการย้ายมาเรียนปริญญาตรีที่เยอรมัน สามารถสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเยอรมันในสาขาเดียวกันได้เลย (Direct Entry) แต่จะไม่มีการเทียบโอนหน่วยกิตวิชาที่เรียนไปแล้ว และจะต้องเริ่มต้นหลักสูตรใหม่ บางกรณีนักศึกษาต้องผ่านการสอบประเมินความรู้จากมาตรฐานกลางที่เรียกว่า Test As (Test for Academic Studies) ก่อน เป็นการสอบประเมินความรู้และความเหมาะสมของนักศึกษาต่างชาติ เพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเยอรมัน นักศึกษาสามารถนำผลการสอบไปสมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในหลักสูตรภาษาเยอรมันหรือภาษาอังกฤษก็ได้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ผ่านการสอบ Test As จะมีโอกาสได้รับการตอบรับเข้าศึกษามากขึ้น
การสอบ Test As (Test for Academic Studies) คืออะไร?
การสอบ Test As คือการสอบวัดความถนัดทางวิชาการเฉพาะด้าน เป็นมาตรฐานของการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยในเยอรมัน มีไว้สำหรับนักเรียน นักศึกษาต่างชาตินอกสหภาพยุโรป (Non-EU) ที่วางแผนเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนี รับรองการสอบโดย DAAD (German Academic Exchange Service) และได้รับการพัฒนาและออกแบบข้อสอบโดย ITB Consulting, Bonn และ TestDaF Institute, Bochum และได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการและการวิจัยแห่งสหพันธรัฐเยอรมัน
ประโยชน์ของการสอบ Test As
- มหาวิทยาลัยสามารถคัดเลือกผู้สมัครที่ตอบสนองความต้องการของสาขาวิชาได้ดีที่สุด
- ผู้เข้าทดสอบจะได้รับทราบข้อกำหนดทั่วไปของวิชาที่ต้องการศึกษา
- ผลการทดสอบ TestAS ช่วยให้ผู้สมัครสามารถประเมินโอกาสในการสำเร็จการศึกษาในมหาวิทยาลัยในเยอรมันได้
- สำหรับนักเรียนที่เรียนจบมัธยมปลายจากต่างประเทศที่มีวุฒิการศึกษาเทียบเท่ากับ วุฒิ Abitur ของเยอรมันนี สามารถสมัครเรียนเข้าตรงสำหรับวุฒิปริญญาตรีได้เลย (Direct Entry) แต่จะต้องมีทักษะภาษาเยอรมันในระดับเชี่ยวชาญ C1 โดยมีผลสอบ TestDaF หรือ telc C1 Hochschule ถึงจะสามารถยื่นเข้าเรียนตรง Direct Entry กับทางมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเยอรมนีได้ คลิก เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติวุฒิการศึกษาว่าสามารถ Direct Entry ได้หรือไม่
- สำหรับนักเรียนที่มีวุฒิ GED ไม่สามารถใช้ยื่นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเยอรมัน รวมถึงไม่สามารถเรียนหลักสูตร Studienkolleg ผู้เรียนจะต้องสำเร็จการศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มัธยมศึกษาปีที่ 6) ถึงจะสามารถเรียนหลักสูตร Studienkolleg หากผู้เรียนมีวุฒิ GED อาจจะต้องมองเป็นประเทศอื่น เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศอังกฤษ เป็นต้น คลิก เพื่อศึกษามูลเกี่ยวกับวุฒิ GED คืออะไร ใช้เรียนต่อต่างประเทศได้หรือไม่ เรียนต่อประเทศอะไรได้บ้าง
การเข้าเรียนระดับปริญญาโท | ข้อกำหนด และเงื่อนไขในที่ต้องรู้เบื้องต้น
- สำหรับผู้จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของไทยที่ต้องการสมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ไม่จำเป็นต้องสอบประเมินความรู้เพราะทางมหาวิทยาลัยหรือคณะที่จะเข้าศึกษาต่อจะมีคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อเทียบผลการเรียนวิชาต่าง ๆ ที่เรียนมาแล้วกับวิชาที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเยอรมันว่า นักศึกษามีความรู้และเหมาะสมที่จะได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในสาขาที่สมัครไว้หรือไม่
ถ้าหากมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ สามารถเข้าเรียนกับมหาวิทยาลัยเอกชนในเยอรมนีได้
เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า มหาวิทยาลัยรัฐบาลเยอรมนี เป็นที่ต้องการ และมีการแข่งขันกันทั่วโลก ทั้งนักศึกษาชาวเยอรมัน และนักศึกษานานาชาติ การเลือกเรียนกับมหาวิทยาลัยเอกชน จะช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากข้างต้น โดยทุกมหาวิทยาลัยเอกชนในเยอรมัน มีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับดีมาก เทียบเท่ากับคุณภาพของมหาวิทยาลัยรัฐบาล สาเหตุอาจจะเกิดจากความเชี่ยวชาญของอาจารย์ผู้สอน ซึ่งไม่ได้เป็นผลจากมหาวิทยาลัยโดยรวม แต่เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในเยอรมนีไม่ฟรีนะ แต่ค่าเทอมก็ประหยัดกว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย
2. ความรู้ทักษะภาษาเยอรมันคือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทวีปยุโรป ประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการคือ ประเทศเยอรมนี ประเทศออสเตรีย ประเทศสวิตเซรอ์แลนด์ ประเทศลิกเตนชไตน์ โดยทั่วไปภาษาที่ใช้สอนที่มหาวิทยาลัยจะเป็นภาษาเยอรมัน ดังนั้น หากต้องการเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี สิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมก่อนอันดับแรกคือ ภาษาเยอรมัน นอกจากนี้ การใช้ชีวิตในเยอรมนีจะง่ายขึ้นหากสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัดสินใจที่จะทำงานต่อในเยอรมนี การได้ภาษาเยอรมันจะทำให้คุณได้เปรียบในตลาดงานอีกด้วย
เกณฑ์การวัดระดับภาษาเยอรมัน
เกณฑ์การวัดทักษะทางภาษาเยอรมัน จะใช้เกณฑ์ Common European Framework (CEFR หรือ CEF) ซึ่งเป็นมาตรฐานการอธิบายความเชี่ยวชาญทางภาษา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุโรป สามารถใช้วัดระดับภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ และเป็นมาตรฐานสากล สามารถอธิบายระดับความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาได้ตั้งแต่ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น ถึงระดับเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นเกณฑ์จำแนกระดับภาษาตั้งแต่ระดับ A1 – C2 ดังนี้
Basic User (ระดับเบื้องต้น)
- A1 เข้าใจเนื้อหาในชีวิตประจำวัน สามารถใช้ประโยคพื้นฐานเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน ตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตประจำวันได้ เช่น การถามทาง การบอกรายละเอียดต่างๆ
- A2 เข้าใจประโยคและสำนวนในชีวิตประจำวัน สามารถอธิบายประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา สามารถพูดคุย โต้ตอบสื่อสาร ในบริบทต่างๆ ได้มากขึ้น
Independent User (ระดับกลาง)
- B1 สามารถสื่อสารในหัวข้อที่คุ้นเคย เช่น การอธิบายประสบการณ์ เหตุการณ์ ความฝัน และเป้าหมายของตนเองได้ รวมถึงการให้เหตุผลหรือแสดงความคิดเห็นและแผนการต่างๆ
- B2 สามารถเข้าใจประโยคซับซ้อน รวมถึงการพูดคุยเชิงวิชาการ เฉพาะด้านได้ โต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ
Proficient User (ระดับเชี่ยวชาญ)
- C1 เข้าใจข้อความที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถแสดงความคิดได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ ใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในสังคม การทำงาน และในการศึกษาทั้งในระดับวิชาชีพและในระดับมหาวิทยาลัย
- C2 เข้าใจทุกเรื่องที่ฟังหรืออ่าน พร้อมสรุปคำพูดและข้อความและนำเสนอที่สอดคล้องกัน สามารถแสดงออกและสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ คล่องแคล่ว รวมถึงสามารถแยกแยะความหมายที่ใกล้เคียงกันของสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนได้
โดยเฉลี่ยนักเรียนจะใช้เวลาประมาณ 9 สัปดาห์ต่อการเรียน 1 ระดับ ตัวอย่างเช่น
- หากอยู่ในระดับภาษาเยอรมันที่ A1 – B2 จะต้องระยะเวลาเรียนประมาณ 36 สัปดาห์
- หากอยู่ในระดับภาษาเยอรมันที่ A2 – B2 จะต้องระยะเวลาเรียนประมาณ 27 สัปดาห์
- หากอยู่ในระดับภาษาเยอรมันที่ B1 – B2 จะต้องระยะเวลาเรียนประมาณ 18 สัปดาห์
เรียนต่อเยอรมัน ต้องใช้ทักษะภาษาเยอรมันระดับไหน
- หากคุณสมบัติพร้อมเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ผู้สมัครจะต้องได้ทักษะภาษาเยอรมันระดับ C1 นักเรียน นักศึกษา ที่มาเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนีระดับปริญญาตรี จะต้องได้ภาษาเยอรมันในระดับเชี่ยวชาญ C1 และผ่าน TestDaF หรือ telc C1 Hochschule ถึงจะสามารถยื่นเข้าเรียนตรง Direct Entry กับทางมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเยอรมนีได้
- หากคุณสมบัติไม่พร้อมเข้าเรียนระดับปริญญาตรี (ต้องเรียน Studienkolleg) ผู้สมัครจะต้องได้ทักษะภาษาเยอรมันระดับ B2 นักเรียน นักศึกษา ที่มาเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนีระดับปริญญาตรี และคุณสมบัติไม่พร้อมเข้าเรียนระดับปริญญาตรี อาจเนื่องจากวุฒิการศึกษาไม่เทียบเท่า Abitur ดังนั้น จะต้องเรียนหลักสูตร Studienkolleg ก่อน เพื่อปรับพื้นฐาน หลักจากนั้นต้องสอบ FSP เพื่อเทียบวุฒิการศึกษาให้เทียบเท่ากับ Abitur ถึงจะสามรถยื่นเข้าเรียนกับทางมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเยอรมนีได้ โดยหลักสูตร Studienkolleg ส่วนใหญ่ จะรับสมัครผู้ที่มีทักษะภาษาเยอรมันในระดับกลาง B2 (หรือระดับ B1 ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน)
- หมายเหตุ : หากผู้สมัครต้องการสมัครเรียน Studienkolleg และปริญญาตรี แต่มีทักษะภาษาเยอรมันไม่ถึงระดับ B2 ก็สามารถสมัครเรียนได้เช่นกัน แต่จะต้องเรียนภาษาเยอรมันเพิ่มเติมกับสถาบันสอนภาษา หรือมหาวิทยาลัยในเยอรมัน โดยระยะเวลามากหรือน้อยขึ้่นอยู่ระดับภาษาที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามหากต้องการเรียนภาษาเยอรมันที่ประเทศเยอรมนี จะต้องมีความรู้ทักษะภาษาเยอรมันอย่างน้อยระดับ A1 (หรือสูงกว่า) โดยจะต้องแนบหลักฐานแสดงระดับความรู้ภาษาเยอรมัน (เช่น หนังสือรับรองการเข้าชั้นเรียนภาษาจากสถาบันสอนภาษาในประเทศไทย หรือประกาศนียบัตรด้านภาษา) ประกอบการยื่นขอวีซ่าเพื่อการศึกษาด้วย
- สำหรับหลักสูตรปริญญาโท ผู้สมัครสามารถยื่นเข้าเรียนตรง Direct Entry ได้เลย แต่จะต้องแนบหลักฐานแสดงความรู้ภาษาเยอรมันระดับ C1 นักเรียน นักศึกษา ที่มาเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนีระดับปริญญาโท จะต้องได้ภาษาเยอรมันในระดับเชี่ยวชาญ C1 และผ่าน TestDaF หรือ telc C1 Hochschule ถึงจะสามารถยื่นเข้าเรียนตรง Direct Entry กับทางมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเยอรมนีได้
3. เรียนเตรียมภาษาเยอรมัน | เรียนที่ไทย VS เรียนที่เยอรมัน เรียนที่ไหนดี
การเรียนเยอรมัน นอกจากเรียนในห้องเรียนแล้ว จะต้องฝึกฝนอย่างเป็นประจำ ยิ่งหากได้ใช้กับชาวเยอรมันโดยตรง ก็จะสามารถพัฒนาได้เร็วกว่า หากเปรียบเทียบกับภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาเยอรมันก็ไม่ได้มีความซับซ้อนมากกว่าภาษาอังกฤษ แต่อาจจะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมในบางจุด เช่น เพศ ที่มีถึง 3 เพศ และการผันกิริยาที่ต้องผันทุกตัว ถ้าหากจำข้อกำหนดได้ การแต่งประโยค หรือไวยกรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเรียนที่เมืองไทย ก็อาจจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเองมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากเรียนที่เยอรมนี ก็อาจจะพัฒนาได้เร็วกว่าเนื่องจาก จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
รู้หรือไม่?
ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาที่ใช้คำศัพท์ร่วมกับภาษาอังกฤษมากกว่า 60% เช่น Apfel (Apple), Banane (Banana), Kaffee (Coffee) และ Milch (Milk) นอกจากนี้ ภาษาเยอรมัน ยังเป็นภาษาที่ใช้ในแวดวงตำราทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสื่อสิ่งพิมพ์วิชาการที่น่าสนใจมากมาย และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่ใช้พูดกันมากที่สุดในสหภาพยุโรป แต่ที่น่าสนใจคือ 49% ของบริษัทนานาชาติทั่วโลก ล้วนเป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน ดังนั้น การได้ภาษาเยอรมันเพิ่ม จึงมีประโยชน์มากสำหรับการทำงานกับบริษัทต่างชาติ
สำหรับน้องๆ ที่สนใจไปเรียนต่อเยอรมัน อย่างที่แจ้งไปข้างต้น ผู้เรียนจะต้องมีทักษะภาษาเยอรมันด้วย เช่น A1 B2 C1 หากใครที่ยังไม่มีผลคะแนนภาษาเยอรมัน อาจจะต้องเริ่มเรียนหลักสูตรภาษาเยอรมันก่อน โดยสามารถเลือกเรียนได้ทั้งในประเทศไทย และในประเทศเยอรมนี ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้เรียน โดย จะมีข้อแตกต่างระหว่างเรียนภาษาเยอรมันในประเทศไทย และในประเทศเยอรมนีดังนี้
1. เรียนภาษาเยอรมันกับสถาบันสอนภาษาเยอรมันในประเทศไทย
การเรียนภาษาเยอรมันในไทยสามารถเรียนได้ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น A0 อาจารย์ผู้สอนส่วนใหญ่เป็นชาวไทย มีบางสถาบันใหญ่ๆ ที่มีครูชาวเยอรมัน แต่ค่าเรียนก็สูงขึ้นตามด้วย แต่ข้อเสียของการเรียนภาษาเยอรมันที่ไทยคือผู้เรียนจะได้ใช้ภาษาเยอรมันแค่ในห้องเรียนเท่านั้น เมื่อออกจากห้องเรียนแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้ฝึกพูด ฝึกสื่อสารนอกจากว่ามีคนรู้จักเป็นชาวเยอรมัน
ที่สำคัญ โรงเรียนสอนภาษาเยอรมันในประเทศไทย มีทั้งแบบถูก และแบบแพงเทียบเท่ากับเรียนที่ประเทศเยอรมนี ขึ้นอยู่กับคุณภาพการศึกษา และการรับรอง เช่น โรงเรียนที่ได้รับรองจากสถานทูตเยอรมัน ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการเรียนที่แพงกว่า ดังนั้น ผู้เรียนควรคำนวณงบประมาณให้ดี นอกจากนี้ หากเลือกเรียนในเมืองใหญ่อย่างเช่น กรุงเทพฯ อาจจะต้องบวกค่าใช้จ่ายประจำวันเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าโดยสารสาธารณะ ซึ่งโดยรวมแล้วอาจไม่แตกต่างกันมากนัก
- ค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเยอรมันในไทย: ค่าใช้จ่ายเรียนภาษาเยอรมันในไทยตั้งแต่ระดับเริ่มต้น A0 ถึง ระดับ B2 มีค่าใช้จ่ายประมาณ 130,000 150,000 บาท
2. เรียนภาษาเยอรมันกับสถาบันสอนภาษาเยอรมันในประเทศเยอรมนี
การเรียนภาษาเยอรมันในประเทศเยอรมัน มีข้อดีคือได้เรียนกับครูเยอรมันโดยตรง ซึ่งจะได้สำเนียง และการออกเสียงที่ถูกต้อง ในบริบทที่แตกต่างกัน มีหลักสูตรให้เลือกเรียนหลากหลาย และตอบโจทย์มากกว่า โดยผู้เรียนสามารถเลือกความเข้มข้น และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ยังได้ใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสารพูดคุยในชีวิตประจำวัน ในหลากหลายสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมให้ทำหลังเลิกเรียน และได้มีโอกาสท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทั้งประเทศเยอรมนี และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ออสเตรีย ฝรั่งเศส โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่แพงเลย และที่สำคัญ ไม่ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวเพิ่ม สามารถใช้วีซ่านักเรียนเยอรมันเดินทางได้เลย
ด้านการสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติ หากเรียนภาษาเยอรมันที่ประเทศเยอรมนี ผู้เรียนยังได้รับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่โดยตรง ทั้งคำแนะนำด้านการเรียน การใช้ชีวิตในเยอรมนี นอกจากนี้ โรงเรียนสอนภาษาเยอรมัน ในประเทศเยอรมนี มีบริการสนับสนุนนักเรียนนานชาติอย่างดีมาก มีหลักสูตรช่วยติวเพิ่มเติม มีกิจกรรมเสริมพัฒนาทักษะภาษา และที่สำคัญ ยังมีหลักสูตรช่วยติวสอบ Studienkolleg ให้กับนักเรียนด้วย ซึ่งทำให้การเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเยอรมนี เป็นเรื่องง่ายมาก ซึ่งบริการเหล่านี้ อาจจะหาไม่ได้จากสถาบันสอนภาษาในเมืองไทย
- ค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเยอรมันในประเทศเยอรมนี:
- หากพื้นฐานภาษาเยอรมันอยู่ในระดับเริ่มต้น (A1) จะต้องเตรียมเงินประมาณ 200,000 – 220,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเยอรมันระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้บรรลุเป้าเหมายไปสู่ระดับ A1 – C1 ขึ้นไป
- หากมีพื้นฐานภาษาเยอรมันบ้างแล้ว (A2 – B1) จะต้องเตรียมเงินประมาณ 70,000 – 150,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเยอรมันระยะเวลา 4 – 9 เดือน เพื่อให้บรรลุเป้าเหมายไปสู่ระดับ B2 – C1 ขึ้นไป
รู้หรือไม่?
หากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเรียนภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย โดยเรียนตั้งแต่ระดับ A1 ไปจนถึง B2, C1, C2 ในระยะเวลาเท่าๆ กัน จะต้องเตรียมงบประมาณอย่างน้อย 250,000 – 300,000 บาท (หรืออาจจะมากกว่า 300,000 บาท หากเรียนสถาบันสอนภาษาของมหาวิทยาลัย) ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะดูไม่ต่างกันมากหากเรียนภาษาเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเลือกลงทุนเรียนหนึ่งภาษาภาษาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี การเรียนภาษาเยอรมันจะได้สิทธิเรียนฟรีในระดับอุดมศึกษาด้วยหากเรียนในประเทศเยอรมนี ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆ ที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับปริญญาตรี
หมายเหตุ:
- การเรียนภาษาเยอรมัน ในประเทศเยอรมนี ผู้เรียนจะต้องแสดงหลักฐานแสดงระดับความรู้ภาษาเยอรมัน เช่น หนังสือรับรองการเข้าชั้นเรียนภาษาจากสถาบันสอนภาษาในประเทศไทย หรือประกาศนียบัตรด้านภาษา อย่างน้องระดับ A1 (ระดับเบื้องต้น) จึงจะสามารถขอ”วีซ่าเพื่อไปเรียนภาษาเยอรมัน”ที่ประเทศเยอรมนีได้ หากผู้ขอวีซ่าไม่มีหลักฐานแสดงระดับความรู้ภาษาเยอรมันระดับ A1 วีซ่าของจะถูกปฎิเสธ เนื่องจากไม่แสดงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีความรู้ภาษาเยอะมันตามที่สถานทูตต้องการ โดยสามารถสอบวัดผลภาษาเยอรมันได้ที่ สถาบันเกอเธ่ Goethe Institute กรุงเทพฯ ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ แนะนำให้เรียนภาษาเยอรมันในประเทศไทย ให้ได้อย่างน้อย A1 – A2 และไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี จะดีที่สุด
- การเรียนระดับปริญญาตรี และปริญญาโทในประเทศเยอรมนี มีหลักสูตรการเรียนนานาชาติที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งหากไปเรียนหลักสูตรเหล่านี้ ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารผลสอบภาษาเยอรมันแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ แนะนำให้มีทักษะอย่างน้อยระดับ A1 สำหรับการใช้ชีวิตทั่วไป แต่ถ้าหากต้องการได้รับโอกาสในการทำงานที่มากกว่า และหลากหลายควรได้รับทักษะภาษาเยอรมันตั้งแต่ B2 เป็นต้นไป
หากสนใจเรียนภาษา เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ที่เยอรมนี สามารถสอบถามศูนย์ฯ เดอะเบสท์ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line :@thebesteduหรือคลิ๊กเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ
4. ประเทศเยอรมนีเรียนฟรี แต่ต้องเตรียมค่าครองชีพไว้ด้วยนะ
ค่าธรรมเนียมการศึกษา มักจะเป็นสิ่งแรก ที่จะต้องพิจารณา เมื่อวางแผนเรียนต่อต่างประเทศ แต่สำหรับในประเทศเยอรมนี ไม่มีค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดระยะเวลาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาชาวเยอรมัน หรือนักศึกษาชาวต่างชาติ ที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลในประเทศยอรมนี ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา แต่มหาวิทยาลัยจะเรียกเก็บค่าลงทะเบียนเรียนเล็กน้อย ประมาณ €300 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการนักศึกษา ทั้งภายใน และภายนอกโรงเรียน เช่น การใช้บริการห้องสมุด การใช้บริการโดยสารสาธารณะ ตลอดทั้งเทอม
แม้จะไม่มีค่าธรรมเนียมการศึกษา แต่ก็มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และอื่นๆ ในชีวิตประจำวันอีกด้วย โดยหากกำลังวางแผนตัดสินใจมาเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี จะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายประมาณ €853 ต่อเดือน (ประมาณ 31,700 บาท) และในแต่ละเมืองของประเทศเยอรมนี ก็มีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันด้วย คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าครองชีพประเทศเยอรมนี
ตัวอย่างประมาณการณ์ค่าครองชีพต่อเดือน ในประเทศเยอรมนี
รายการ |
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน |
ค่าที่พัก และค่าสาธารณูปโภค |
€450 – €650 |
ค่าอาหาร |
€220 – €316 |
ค่าโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต | €30 – €55 |
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ส่วนตัว | €80 – €120 |
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับขนส่งสาธารณะ |
€70 – €94 |
รวมค่าใช้จ่าย |
€850 – €1,235 |
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาตรีระหว่างประเทศอังกฤษ VS ประเทศเยอรมนี
หมายเหตุ:
- คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน €1 มีค่าประมาณ 36 บาท
- ค่าใช้จ่ายข้างต้น เป็นการประมาณโดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเท่านั้น น้องๆ อาจประหยัดค่าใช้จ่ายโดยการเลือกที่พักที่ราคาถูกกว่า หรือประหยัดค่าอาหารหากทำอาหารรับประทานเอง
5. เรียนต่อเยอรมัน สามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ด้วย
นักศึกษาต่างชาตินอกประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป Non-EU Nationals ได้รับอนุญาตให้ทำงานระหว่างเรียน 120 วันเต็ม (Full Day) หรือ 240 ครึ่งวัน (Half Day) ต่อปี การหางานพิเศษ อาจหาได้จากป้ายประกาศในมหาวิทยาลัยหรือตามที่ต่างๆ ที่เรียกว่า Schwarzes Brett หรือในประกาศหางานในเวบไซต์ ในเมืองใหญ่ อาจมีการแข่งขันในการหางานสูงกว่าเมืองเล็ก ค่าจ้างงานมักจะขึ้นอยู่กับหน้าที่ในการทำงานและค่าครองชีพของแต่ละเมือง
นอกจากนี้ นักศึกษาที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาเยอรมัน มีโอกาสได้งานและเลือกงานได้มากกว่านักศึกษาที่พูดได้เพียงภาษาอังกฤษ เพราะงานที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับผู้คน ความรู้ภาษาเยอรมันเป็นสิ่งจำเป็น เช่น งานบริการในร้านอาหาร ในร้านขายของ เลี้ยงเด็ก ผู้ช่วยในสำนักงาน เป็นต้น นักศึกษาที่ยังสื่อสารภาษาเยอรมันได้ไม่คล่องนัก อาจหางานประเภทอื่น ๆ ได้ เช่น ผู้ช่วยในร้านอาหาร เป็นต้น
ค่าแรงขั้นต่ำประเทศเยอรมนีประมาณ €9.35 (ประมาณ 347 บาท) ต่อชั่วโมง
อัพเดท 1 มกราคม 2563
คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานระหว่างเรียน ที่ประเทศเยอรมนี
6. การขอวีซ่าเพื่อการศึกษาเยอรมัน (วีซ่านักเรียน) จะต้องมีบัญชีเงินฝาก Blocked Account สำหรับยื่นหลักฐานทางการเงินในการขอวีซ่าด้วย (สำคัญมาก)
Blocked Account คือสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับการขอวีซ่านักเรียนเยอรมัน ดังนั้น ผู้สนับสนุนทางการเงินของผู้เรียน จะต้องพิจารณาว่าก่อนพร้อมหรือไม่? สำหรับการที่นำเงินจำนวนหนึ่ง ไปฝากไว้ที่บัญชี Blocked Account ที่ประเทศเยอรมนี เพื่อเป็นหลักฐานทางการเงินสำหรับขอวีซ่านักเรียน ซึ่งวิธีการจะแตกต่างจากการขอวีซ่าประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรป ที่สามารถใช้หลักฐานทางการเงินของบัญชีธนาคารในประเทศไทยในการขอวีซ่าได้
Blocked Account คือการเปิดบัญชีธนาคารของประเทศเยอรมันสำหรับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยืนยันว่านักเรียนมีหลักฐานทางการเงินที่เพียงพอในการใช้ชีวิตที่ประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในข้อกำหนดสำหรับการยื่นวีซ่านักเรียนประเทศเยอรมนี เพื่อแสดงให้สถานทูตเห็นว่า นักเรียนสามารถอยู่อาศัยในประเทศเยอรมนี ในฐานะนักเรียนได้ในระยะเวลาหนึ่งปี นอกจากนี้ Blocked Account ยังใช้เป็นหลักฐานทางการเงินเพื่อยื่นขอวีซ่านักเรียนในเยอรมนีระยะยาว (National Visa) ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติและข้อบังคับของสถานทูต หากเป็นนักเรียนต่างชาติ นอกเหนือจากสหภาพยุโรป หรือนอก EEA จะต้องพิสูจน์ว่า คุณมีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตในประเทศเยอรมนีได้อย่างสุขสบาย หากทำความเข้าใจง่ายๆ เงินที่ถูกนำไปฝากไว้ใน Blocked Account คือเงินที่สถานทูตกำหนดให้นำเงินที่ต้องไปใช้ในเยอรมมีล่วงหน้า 1 ปี เพื่อเตรียมไว้ให้สำหรับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพของผู้เรียนตลอดระยะเวลาที่เรียนและอาศัยอยู่นั้นเอง
หมายเหตุ: วีซ่าเพื่อเรียนภาษาเยอรมัน ไม่จำเป็นต้องแสดง Blocked Account แต่จะต้องแสดง หลักฐานแสดงรายได้และทรัพย์สินของบิดา มารดา หรือหลักฐานการเงินของตนเอง เช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร หนังสือรับรองการทํางาน ฯลฯ
เรียนต่อเยอรมัน 1 ปี จะต้องแสดงหลักฐานทางการเงินขั้นต่ำเท่าไหร่?
การแสดงเอกสารทางการเงิน สำหรัขอวีซ่าเพื่อเรียนต่อประเทศเยอรมนีระยะยาว (National Visa) แตกต่างจากประเทศอื่นๆ เนื่องจาก จะต้องเปิดบัญชีธนาคาร Blocked Account ทันทีที่คุณได้รับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อเป็นที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณมีหลักฐานทางการเงินเพียงพออย่างน้อยในช่วงปีแรกของการศึกษาในเยอรมนี โดยจำนวนเงินบังคับที่สถานทูตกำหนดให้ต้องฝากเข้าบัญชีธนาคาร Blocked Account คือ €10,236 (ประมาณ 378,732 บาท) เมื่อนักเรียนเริ่มภาคการศึกษาแรกในเยอรมนี จะสามารถถอนได้จำนวน €853 (ประมาณ 31,561 บาท) ต่อเดือน ซึ่งถือว่าแสดงหลักฐานทางการเงินน้อยกว่าประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และแคนาดาอย่างมาก
คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชี Blocked Account
7. เรียนต่อเยอรมนี มีทุนการศึกษาให้ด้วยนะ
ทุนการศึกษาเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีในการสนับสนุนการเรียนในเยอรมนี ประเทศเยอรมนี ก็มีทุนการศึกษามากมายที่มอบให้กับนักศึกษาต่างชาติ โดยมีบางทุนก็ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพในชีวิตประจำวันขณะเรียนที่เยอรมนี แต่อย่าลืมว่า ถ้าอยากได้ทุน คุณสมบัติต้องเพียบพร้อมทั้ง คุณสมบัติทางด้านวิชาการ และคุณสมบัติทางด้านภาษาเยอรมัน โดยทุนส่วนมาก จะมอบให้นักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกขึ้นไป สำหรับสนับสนุนการทำวิจัย
ตัวอย่างทุนการศึกษาที่มอบให้นักศึกษาต่างชาติ
- The Deutschlandstipendium ทุนการศึกษาจากรัฐบาลเยอรมนี มอบให้กับนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม โดยมอบหมายให้ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ตัดสิน โดยทุนการศึกษานี้มิบให้ตั้งแต่ 2 เทอม ตลอดจนถึงเรียนจบ คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Deutschlandstipendium
- DAAD Scholarships DAAD เป็นองค์กรแลกเปลี่ยนทางวิชาการแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีภารกิจในการส่งเสริมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในเยอรมัน และมอบทุนการศึกษามากมายหลากหลายระดับชั้น คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุน DAAD Scholarships
- Erasmus + โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในยุโรปที่ใหญ่ที่สุดมอบโอกาสที่น่าสนใจในการเรียนภาษาเยอรมัน มีมหาวิทยาลัยในเยอรมันเข้าร่วมในโครงการแลกเปลี่ยน Erasmus + จำนวนมาก และสามารถใช้ทุนการศึกษานี้เพื่อเป็นทุนในการศึกษาในเยอรมนี
- ทุนการศึกษาจากสถาบันเอกชน สถาบันการศึกษาเอกชนเกือบทุกแห่งในเยอรมนี มอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาต่างชาติด้วย โดยอาจมอบให้เป็นส่วนลดค่าเทอม 20% -50% ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน
8. หลังจากเรียนจบแล้ว ได้สิทธิอยู่ต่อเพื่อทำงานได้อีก 18 เดือน พร้อมโอกาสในการทำงานที่หลากหลาย และรับเงินเดือนในอัตราเดียวกันกับคนในยุโรป
ความคุ้มค่าในการเรียนเยอรมัน นอกจากได้รับคุณภาพการศึการศึกษาระดับโลก และได้สิทธิ์เรียนฟรีแล้ว ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป สามารถอยู่ในเยอรมนีเพื่อหางานทำได้หลังเรียนจบได้ด้วย โดยสามารถยื่นขออยู่ต่อได้สูงสุด 18 เดือน ซึ่งในระยะเวลานี้ เปิดโอกาสให้ผู้ที่เรียนจบ สามารถหางานทำที่ตรงสาย และหากได้งานทำที่ตรงสายภายในระยะเวลา 18 เดือน ก็จะสามารถขอวีซ่าทำงาน หรือ EU-Blue Card ซึ่งเป็นใบอนุญาตทำงานที่รับรองจาก 25 ใน 28 ประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรป ได้
สิทธิ์ผู้ถือ EU-Blue Card
- สามารถทำงานและรับเงินเดือนในอัตราเดียวกันกับคนในยุโรป โดยฐานเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ €43,056 – €55,200 /ปี (ประมาณ 1,600,000 – 2,000,000 บาท/ปี หรือ เฉลี่ย เดือนละ 133,000 – 166,000 บาท/เดือน)
- ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม เทียบเท่ากับคนชาติเยอรมัน
- มีโอกาสขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent Residence) เมื่อทำงานเป็นระยะเวลา 5 ปี
เยอรมนี เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม และเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
เยอรมนีเป็นประเทศแห่งอุตสาหกรรม เยอรมนีได้ลงทุนในมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันโปรแกรมวิศวกรรมได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในมหาวิทยาลัยในเยอรมัน อย่างไรก็ตามมีโปรแกรมการศึกษามากมายที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยเหล่านี้และในบางแห่งก็เป็นผู้นำระดับโลก เช่น การแพทย์และเภสัชศาสตร์
ระบบเศรษฐกิจของประเทศเยอรมนี ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มีการจ้างแรงงานที่มีทักษะสูง และนำเทคโนโลยี นวัตกรรมการผลิตชั้นสูง เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ เยอรมนียังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
อุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการแข่งขันและสร้างสรรค์นวัตกรรมมากที่สุดในโลก และมีการผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ สินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของเยอรมนี ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องจักร สินค้าเคมี ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ยา อุปกรณ์การขนส่ง โลหะพื้นฐาน อาหาร ยาง และพลาสติก เยอรมนีเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก บริษัท รายใหญ่ในเยอรมนีมีที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Mercedes-Benz, BMW, Volkswagen, Audi, Siemens, Allianz, Adidas, Porsche, Bosch และ Deutsche Telekom
ความพยายามในการวิจัยและพัฒนาเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมัน ในปี 2018 เยอรมนีอยู่ในอันดับที่สี่ของโลกในแง่ของจำนวนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ตีพิมพ์ สถาบันวิจัยในเยอรมนี ได้แก่ Max Planck Society, Helmholtz Association และ Fraunhofer Society และ Leibniz Association เยอรมนีเป็นผู้สนับสนุนองค์การอวกาศยุโรปรายใหญ่ที่สุด
ตลาดแรงงานในเยอรมนี
ประเทศเยอรมนีมีอัตราการว่างงานต่ำ โดยมีอัตราการว่างงาน 3.9% ในบางพื้นที่ของเยอรมนีตอนใต้ เช่น บาวาเรีย (มิวนิก) อัตราการว่างงานจะต่ำกว่า 3.9% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนึ่งในสามของประชากรในเยอรมนีจะได้งานทำภายใน 12 เดือน ยิ่งหากคุณมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและมีความรู้พื้นฐานภาษาเยอรมัน ก็ยิ่งมีโอกาสสูงกว่าที่จะหางานในเยอรมนี
เยอรมนีเป็นที่ตั้งของ บริษัท ขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่งและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษในภาคยานยนต์ บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งในเยอรมนี ได้แก่ :
- Volkswagen (automotive)
- Daimler (automotive)
- Allianz (finance)
- BMW (automotive)
- Siemens (electronics)
- Bosch (electronics)
- Deutsche Telekom (telecommunications)
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทขนาดเล็กอีกหลายบริษัท ที่กำลังมองหาแรงงานที่มีฝีมืออยู่มากมาย และบริษัทขนาดเล็กมีอัตราการจ้างงานมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่อีกด้วย นอกจากนี้ ธุรกิจประมาณ 90% ในเยอรมนี เป็นธุรกิจ SME แทบจะทั้งหมด
ตำแหน่งว่างงานในเยอรมนี
ตำแหน่งว่างงานในเยอรมนีอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน แต่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูง เช่น ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ ทักษะด้านวิศวกรรมศาสตร์ ทักษะด้านคณิตศาสตร์ และทักษะด้านเทคโนโลยี
ค่าตอบแทน (รายได้) ขั้นต่ำ ในเยอรมนี
ค่าจ้างขั้นต่ำในเยอรมนีถูกกำหนดในแต่ละปี ณ เดือนมกราคม 2020 อยู่ที่ €9.35 ต่อชั่วโมง (ประมาณ 345.95 บาท) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 5 ของประเทศในสหภาพยุโรป และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนในเยอรมนีอยู่ที่ €4,021 (ประมาณ 148,777 บาท) แต่จะแตกต่างกันไปตามภาคภูมิภาค และสายงาน โดย สายงานด้านแพทย์และทันตแพทย์ เป็นอาชีพที่ได้รับสูงสุดคือ €80,000 ต่อปี (ประมาณ 2,900,000 บาท) รองลงมาคือ อาชีพเกี่ยวกับด้านกฏหมาย ทนายความ และ วิศวกรตามลำดับ
กฎหมายแรงงานและสิทธิแรงงานในเยอรมนี
- โดยเฉลี่ยในเยอรมนีจะทำงานแบบเต็มเวลา Full-Time อยู่ที่ประมาณ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- สิทธิวันหยุดตามกฎหมายประจำปีขั้นต่ำในเยอรมนีคือ 20 วันต่อปี
- ได้รับสวัสดิการอื่นๆ เช่น ได้รับค่าจ้างกรณีเจ็บป่วย และค่าคลอดบุตร
- นายจ้างจะต้องแจ้งลูกจ้างล่วงหน้าอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ กรณีเลิกจ้าง
- กรณีช่วงทดลองงานสัญญามาตรฐานคือ 4 สัปดาห์
- งานส่วนใหญ่ทั้งเต็มเวลาและนอกเวลาจะถูกควบคุมโดยสัญญาจ้างงาน อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงนาม
9. ประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
เยอรมนีมีพื้นที่ประมาณ 357,000 ตารางกิโลเมตร พรมแดนทางตอนเหนือของประเทศ ติดกับฝั่งทะเลเหนือ (North Sea) และทะเลบอลติค ทางตอนใต้จรดเทือกเขาแอลป์ในรัฐบาวาเรีย (Bayern) ระยะทางส่วนที่ยาวที่สุด จากเหนือจรดใต้ประมาณ 876 กิโลเมตร จากตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 640 กิโลเมตรภูมิประเทศของเยอรมันมีทิวทัศน์งดงามแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ทั้งเทือกเขาสูงต่ำ สลับกับที่ราบสูงและพื้นที่ลดหลั่นเป็นขั้น เนินเขาทะเลสาบ ตลอดจนที่ราบโล่งกว้างใหญ่ ทางตอนเหนือเป็นแนวชายฝั่งทะ เลเต็มไปด้วยเกาะแก่งทะเลสาบ ท้องทุ่งที่มีพุ่มไม้ปกคลุม เนินทรายและบริเวณปากแม่น้ำ ที่สวยงาม ส่วนทางตอนใต้แถบที่ราบสูงชวาเบียน-บาวาเรียนเต็มไปด้วยเนินเขาและทะเลสาบขนาดใหญ่ มีบริเวณครอบคลุมถึงเทือกเขาแอลป์ในส่วนของเยอรมัน
ประเทศเยอรมนีมีมรดกโลกที่ได้รับการจดทะเบียนจาก UNESCO ประเทศเยอรมนี เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความร่ำรวยมาก หากมาเรียนที่เยอรมนี จะได้มีโอกาสได้ท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกหลายแห่ง ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
Top 8 เมืองยอดนิยมในประเทศเยอรมนี
คนเยอรมัน 26 ล้านคนหรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ 86 เมือง ซึ่งมีประชากรกว่า 100,000 คนขึ้นไป ศูนย์กลางในทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม จึงไม่ได้จำกัดอยู่ ณ เมืองใดเมืองหนึ่งเพียงแห่งเดียว โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ สถาบันศิลปะ ห้องสมุด มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้า จะมีหลากหลาย กระจายอยู่ตามเมืองต่าง ๆ และแต่ละเมืองจะมีลักษณะเฉพาะของตน
- กรุงเบอร์ลิน (Berlin) – เป็นเมืองหลวงของเยอรมนีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นเมืองใหญ่ที่สุดมีประชากรราว 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต วงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง มีมหาวิทยาลัย 15 แห่ง วิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 4 แห่ง นับเป็นเมืองที่มีสถาบันอุดมศึกษามากที่สุดในเยอรมนี
- ฮัมบวร์ก (Hamburg) – เป็นเมืองท่าที่สำคัญ มีประชากรประมาณ 1.8 ล้านคน 15 เปอร์เซนต์ของประชากรเป็นชาวต่างชาติ เมืองนี้จึงมีบรรยากาศของความเป็นสากล นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการสื่อสารมวลชน การผลิตหนังสือพิมพ์และนิตยสารของเยอรมันที่มียอดจำหน่ายกว่า 1 ล้านฉบับ มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกหลายสถาบัน
- มิวนิค (München) – เมืองมิวนิคเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะ สวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง รวมทั้งงานใหญ่ประจำ ปีที่ทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งของสำ นักงานใหญ่บริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และซีเมนส์ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบันวิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาอีก 9 แห่ง
- แฟรงก์เฟิร์ต ไมน์ (Frankfurt am Main) – ประตูสู่ยุโรป เป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี มีประชากรประมาณ 690,000 คน เป็นแหล่งการเงินนานาชาติและตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารกลางของยุโรป สำนักงานใหญ่ของธนาคารหลายแห่งอยู่ที่เมืองนี้ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของหอสมุดแห่งชาติและงานแสดงหนังสือนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- โคโลญจ์ (Köln) – เมืองนี้ประกอบด้วยโบสถ์สวยงามมากมาย มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน เป็นเมืองเก่ากว่า 2,000 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศิลปะดนตรีร่วมสมัย มหาวิทยาลัยโคโลญจ์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1388 ปัจจุบันมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาอื่น ๆ อยู่เกือบแสนคน
- ไลป์ซิก (Leipzig) – มีประชากรประมาณ 530,000 คน เคยเป็นเมืองสำ คัญสำ หรับจัดงานแสดงสินค้ามาหลายร้อยปีแล้ว เมื่อมีการรวมประเทศ เมืองนี้จึงกลับมามีบทบาทสำ คัญทางการค้ากับทั่วโลกมากขึ้น มหาวิทยาลัยของเมืองนี้ ก่อตั้งมากว่า 600 ปี และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง
- ไฮเดลแบร์ก (Heidelberg) – มีประชากรประมาณ 150,000 คน เป็นเมืองเก่าที่คงความสวยงามทางสถาปัตยกรรม และมีทัศนียภาพที่งดงามริมแม่น้ำ เนกคาร์ มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์กเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมนี นอกจากนี้เมืองนี้ยังมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาถึง 6 แห่ง
- บอนน์ (Bonn) – มีประชากรประมาณ 300,000 คน เคยเป็นเมืองหลวงของเยอรมนีตะวันตก แม้ว่าหลังการรวมประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1990 เบอร์ลินจะกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่สถานที่ราชการหลายแห่งยังคงอยู่ที่บอนน์ รวมทั้งองค์กร และสถาบันต่าง ๆ เช่น องค์กรแลกเปลี่ยนทางวิชาการ (DAAD – German Academic Exchange Service) และสภาวิจัยของเยอรมัน (DFG) มหาวิทยาลัยของเมืองนี้มี นักศึกษาประมาณ 40,000 คน
เมืองที่น่าสนใจอื่นๆ มีอีกหลายแห่ง ได้แก่ ฮันโนเวอร์ (Hannover) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการแสดงสินค้าอุตสาหกรรม สตุ๊ทการ์ท (Stuttgart) ซึ่งมีความสำ คัญทางเศรษฐกิจ และเมือง ไวมาร์ (Weimar) ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำ คัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ประเทศเยอรมนี มีระบบขนส่งสาธารณะที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ครอบคลุมทั่วประเทศ
พลเมืองส่วนใหญ่ในประเทศเยอรมนีมักจะเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคต่างๆ ทั้งในเมือง และชานเมือง รวมถึงเชื่อมต่อระหว่างประเทศอื่นๆ ในยุโรปด้วย เช่น ฝรั่งเศส เบลเยียม โปแลนด์ ออสเตรีย มีความสะดวกสบาย รวดเร็ว และตรงเวลา และค่าตั๋วโดยสารราคาสมเหตุสมผล นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย
การเดินทางเป็นสิ่งที่ต้องใช้เป็นประจำทุกวัน ดังนั้น ควรเลือกประเภทของขนส่งสาธารณะที่ตอบโจทย์กับการใช้งานให้มากที่สุด ซึ่ง ประเทศเยอรมนี เป็นประเทศที่มีระบบขนส่งสาธาณะยอดเยี่ยม และครอบคลุมทุกเส้นทาง ทั้งในเมือง และนอกเมือง ปัจจุบัน มีตั๋วเที่ยวเดียวสำหรับการเดินทางสาธารณะเฉลี่ย €2 ต่อเที่ยว นอกจากนี้ มีตั๋วเดินทางแบบรายเดือนซึ่งจะมีราคา €70 ซึ่งสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะครอบคลุมทุกรูปแบบในเมืองนั้น เช่น รถราง รถบัส และรถไฟ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ค่าใช้จ่ายระบบขนส่งสาธารณะ ครอบคลุมกับค่าลงทะเบียนเรียนเรียบร้อยแล้ว แต่จะครอบคลุมมากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยที่ลงทะเบียนเรียน อย่างน้อยที่สุด จะครอบคลุมตั๋วรถบัสท้องถิ่น ของเมืองที่อาศัยอยู่
ค่าแท็กซี่เริ่มต้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ €3.50 แต่วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทาง คือการใช้จักรยาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นในช่วงเวลาเร่งด่วน จักรยาน เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในบรรดาตัวเลือกการเดินทางอื่นๆ เนื่องจาก สะดวก รวดเร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือ มีเลนสำหรับปั่นจักรยานด้วย ปลอดภัย และสามารถกำหนดเวลาการเดินทางได้
“A developed country is not a place where the poor have cars. It’s where the rich use public transportation.” Mayor of Bogota
ระบบโดยสารสาธารณะในเยอรมนี
ทุกเมืองในเยอรมนี มีระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม รวดเร็วและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
- U-Bahn (รถไฟใต้ดิน subway/underground)
- S-Bahn (รถไฟระหว่างเมือง)
- Bus (รถประจำทาง)
- Straßenbahn/Trambahn (รถราง / รถแทรม)
- Stadtbahn (รถไฟฟ้ารางเบา)
ค่าโดยสาร
ตั๋วโดยสาร มีจำหน่ายแบบเที่ยวเดียว รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน นอกจากนี้ ตั๋วบางประเภท สามารถขึ้นได้ทั้ง S-Bahn, U-Bahn, รถประจำทาง, รถรางและเรือข้ามฟาก โดยการตรวจตั๋ว จะต้องนำไปประทับตาตู้ที่ชานชาลาเอง หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตั๋ว แล้วพบว่าไม่ได้ประทับตรา หรือประทับตราไม่ถูกต้อง หรือตั๋วหมดอายุ หรือซื้อตั๋วผิดประเภท จะถูกเก็บค่าปรับประมาณ €40
สามารถนำสุนัขเดินทางไปกับรถโดยสารสาธารณะได้ แต่สุนักจะต้องถูกล่ามและสสมตะกร้อ (Schnozzle) หากสุนัขตัวเล็ก เป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ สุนัขจะต้องถูกข่มและสวมตะกร้อครอบปาก หากสุนัขตัวเล็กพอที่จะอุ้มได้ขนาดของแมวก็สามารถขี่ได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋วในขณะที่สำหรับสุนัขตัวใหญ่จะต้องจ่ายค่าตั๋วเดินทาง €1.5
10. ประเทศเยอรมนี มีสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นแบบ 4 ฤดู
เยอรมนีส่วนใหญ่มีอากาศค่อนข้างเย็นตั้งแต่มหาสมุทรทางตอนเหนือไปจนถึงทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ฤดูหนาวมีตั้งแต่อากาศหนาวเย็นในเทือกเขาแอลป์ทางตอนใต้ไปจนถึงอากาศอบอุ่นค่อนข้างเย็นและโดยทั่วไปจะมืดครึ้มและมีฝนตก ในขณะที่ฤดูร้อนอาจแตกต่างกันไปแต่ละพื้นที่ ภาคเหนือมีลมตะวันตกพัดผ่านซึ่งพัดพาอากาศชื้นจากทะเลเหนือเข้ามาทำให้อุณหภูมิพอเหมาะและมีฝนเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้มีอุณหภูมิสูงมากขึ้น
ลักษณะอากาศของเยอรมันเป็นแบบค่อนข้างไปทางหนาวเย็น มี 4 ฤดู ได้แก่
- ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18-20 องศาเซลเซียส แต่อาจจะสูงขึ้นถึง 30 องศาได้ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) อากาศจะเย็นลงและมีฝน ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง สีน้ำ ตาลบ้าง เป็นทัศนียภาพที่งดงาม
- ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 5 องศา ถึงลบ 5 องศาเซลเซียส โดยจะมีหิมะตกบ้าง
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อากาศจะอุ่นขึ้น ดอกไม้เริ่มผลิบานและต้นไม้จะแตกใบอ่อนนำ ความเขียวขจีกลับมาอีกครั้ง
11. เรียนต่อเยอรมนี ได้สิทธิท่องเที่ยวทั่วยุโรป โดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติมให้เสียเวลา
สำหรับผู้ที่ถือวีซ่าเพื่อการศึกษาเยอรมนี สามารถเดินทางประเทศในเครือกลุ่มของ Schengan ได้เลยทั้ง 26 ประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิกเตนสไตน์ ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สาธารณรัฐสโลวัก สโลวีเนีย สเปน สวีเดน และสวิสเซอร์แลนด์
น้องๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ Romantic Road หรือถนนสายโรแมนติก ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถยอดนิยม ที่รายล้อมด้วยทิวทัศน์ ธรรมชาติที่สวยงาม ผ่านหมู่บ้าน เทือกเขา ป่าไม้ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป จนได้รับการขนานนามให้เป็นถนนสายโรแมนติก หรือ Romantic Road เป็นที่นิยม และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก หนึ่งในถนนสายโรแมนติกที่นิยมมากที่สุดคือ Jewels of Romantic Europe หรือ อัญมณีแห่งยุโรป เมื่อวาดเส้นทางตามถนนที่เดินทาง จะมีลักษณะเป็นรูปคล้ายอัญมณี จึงเป็นที่มาของชื่อถนน โดยเส้นทางนี้ จะผ่าน ประเทศเยอรมนี และประเทศออสเตรีย
12. ประเทศเยอรมนี เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ของยุโรป
เยอรมนีมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ในจำ นวนนี้ 7.3 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพมาจากตุรกี ยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงหลัง ค.ศ. 1960 แล้วชาวเยอรมันสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เยอรมันดั้งเดิมหลายเผ่า เช่น เผ่าซัคเซน และ บาวาเรียน ซึ่งปัจจุบันเราจะไม่เห็นความแตกต่างนี้แล้ว แต่ยังมีคนเยอรมันบางกลุ่มที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมและพูดภาษาเผ่าดั้งเดิมของตน โดยใช้เป็นภาษาถิ่นต่าง ๆ กันไป การหลั่งไหลเข้ามาของชาวต่างชาติก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ ๆ
ประเทศเยอรมนี เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ปัจจุบัน ประเทศเยอรมนีเป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากมาย ดังนั้น จะได้เรียนรู้ และศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่างจากทั่วทุกมุมโลก และเพื่อนร่วมชั้นเรียนอาจมาจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้น ผู้เรียนมีโอกาสพูดได้มากกว่า 3 ภาษา นอกจากนี้ ประเทศเยอรมนีเป็นสังคมเปิด ยอมรับ ผู้คนซึ่งอพยพเข้ามาหาที่หลบภัยและผู้อพยพหนีสงคราม มีการเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน เป็นกลุ่มประเทศผู้นำ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพและเลือกถิ่นที่อยู่ภายในสหภาพยุโรป
งานเทศกาลที่สำคัญ
มีประเพณีและพิธีกรรมมากมายในเยอรมนีซึ่งส่วนใหญ่มีการเฉลิมฉลองตั้งแต่หลายร้อยปี ประเพณีและพิธีกรรมมีผลกระทบที่สำคัญต่อวัฒนธรรมและชีวิตประจำวันของชาวเยอรมัน ในฐานะนักเรียนต่างชาติคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีเหล่านี้มากมายและบางทีคุณอาจจะฉลองบางอย่างหลังจากที่คุณเรียนจบที่เยอรมนี ที่นี่คุณสามารถค้นพบประเพณีบางอย่างได้แล้ว!
HAMBURG PORT ANNIVERSARY
เป็นงานสาธารณะและงานรื่นเริงประจำปีในเมืองฮัมบูร์กประเทศเยอรมนี ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสุดสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบท่าเรือฮัมบูร์กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ในปี 2019 วันฉลองครบรอบ 830 ปี ได้สร้างสถิติใหม่ ผู้ชมมากกว่าหนึ่งล้านคน
THE OKTOBERFEST IN MUNICH
เป็นเทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองมิวนิก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี จัดยาวนานถึง 16 – 18 วัน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายน ถึงวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม โดยมีผู้คนมากกว่าหกล้านคนจากทั่วโลกเข้าร่วมงานทุกปี โดดเด่นด้วยเต็นท์เบียร์ขนาดใหญ่ และมีประเพณีดื่มเบียร์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงวงดนตรีพื้นบ้าน และจำหน่ายสินค้า และงานฝีมือขึ้นชื่อในเยอรมนีด้วย
THE STRIEZELMARKT IN DRESDEN
ตลาดคริสต์มาสแห่งแรกในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเดรสเดิน เมืองหลวงของรัฐซัคเซิน เรียกได้ว่าเป็น Original Traditional Christmas Market ก่อตั้งขึ้นในปี 1434 และฉลองครบรอบ 585 ปีในปี 2019 ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 3 ล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก เปิดให้ท่องเที่ยวตลอดทั้งฤดูกาลถึงคริสต์
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับ 12 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเรียนต่อเยอรมนี ถึงแม้ บางขั้นตอนอาจจะยุ่งยากสักหน่อย เช่น การเปิดบัญชี และการฝากเงินกับ Blocked Account แต่ก็เป็นเงินที่เตรียมพร้อมให้น้องๆ ในการเรียนต่อเยอรมนี และก็เป็นผลดีต่อวีซ่าของน้องๆ ด้วยเช่นกันค่ะ น้องๆ คนไหนที่มีคำถามเพิ่มเติม หรือสนใจวางแผนเรียนต่อเยอรมนี ไม่ว่าจะเป็นเรียนภาษาเยอรมนีระยะสั้น เรียนภาษาเยอรมนี เพื่อเรียนต่อหลักสูตรปริญญาตรี หรือเรียน Studienkolleg รวมถึง สนใจเรียนฟรีที่ประเทศเยอรมนี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ ได้เลยนะคะ เราพร้อมจะให้คำปรึกษากับน้องๆ ทุกคน
ติดต่อเดอะเบสท์เพื่อสอบถามข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มเติม
เดอะเบสท์ เป็นศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรียนต่อต่างประเทศครบวงจร เราเป็นตัวแทนที่ให้บริการแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และ ประเทศอื่นๆ อีก 25 ประเทศทั่วโลก เรายินดีให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มสมัครเรียน จนสำเร็จการศึกษา รวมถึงดูแลนักเรียนระหว่างเรียนจนนักเรียนเรียนจบด้วยทีมผู้เชียวชาญในด้านการเรียนต่อต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ขั้นตอนเหล่านี้เราดำเนินการให้ฟรี และเราพร้อมที่จะทำตามคุณภาพ และมาตรฐานดังสโลแกนที่ว่า “We are Quality”
บริการของเรามีอะไรบ้าง ?
- ฟรี!! บริการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศทุกระดับชั้นทั่วโลก เราให้คำแนะนำในการเรียนต่อต่างประเทศ ทุกระดับชั้น ทั่วโลก ตั้งแต่ โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม สถาบันวิชาชีพ และสถาบันในระดับอุดมศึกษา รวมถึงหลักสูตรภาษาต่างประเทศ และเลือกสถาบันที่ดีที่สุดให้กับผู้เรียน
- เราให้ความช่วยเหลือตั้งแต่การประสานงานโรงเรียน เลือกโรงเรียนให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน เตรียมเอกสารสมัครเรียน และดำเนินเรื่องสมัครเรียนให้ฟรี
- บริการเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าครบวงจร และบริการยื่นวีซ่ากว่า 25 ประเทศทั่วโลก พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าอย่างตรงจุด และแนะนำวิธีการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์วีซ่า : เป้าหมายของเราคือต้องการให้ลูกค้าทุกท่านประสบความสำเร็จ
- บริการแปลเอกสาร ภาษาไทย – ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอังกฤษ – ภาษาไทย รวมถึงภาษาที่ 3 ด้วยราคามิตรภาพ เริ่มต้นเพียงแผ่นละ 200 บาท
- บริการสมัครสอบ IELTS เดอะเบสท์ เป็นตัวแทนรับสมัครสอบ IELTS IDP อย่างเป็นทางการ พร้อมให้คำแนะนำ และนัดวันสอบให้โดยน้องๆ ไม่ต้องเสียเวลาสมัครเอง สมัครสอบได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
- บริการซื้อประกันภัยการเดินทางและประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติ จากบริษัทประกันชั้นนำ MSIG, NIB, Allianz, Orbit และอื่นๆ
- บริการจองตั๋วเครื่องบิน ทุกสายการบิน และประสานงานกับสถาบันเกี่ยวกับรถรับ – ส่ง สนามบิน
- บริการจัดหาที่พักทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโฮมสเตย์ อพาร์ทเม้น หรือหอพักนักศึกษา จัดหาให้ตามความต้องการส่วนบุคคล
“เรายินดีที่จะดูแลนักเรียนทุกคน ตั้งแต่เริ่มต้นจนนักเรียนสำเร็จการศึกษา และทำให้การเรียนต่อของคุณเป็นเรื่อง่าย ” สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line : @thebesteduหรือคลิ๊กเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ
3 ความเห็น
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.