Last updated มิถุนายน 9, 2022 ago by Thebestedu
ปัจจุบัน มีเส้นทางการศึกษาหลากหลายเส้นทางในการเรียน และประสบความสำเร็จ ทุกเส้นทาง ล้วนแต่มีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกัน โดยในบทความนี้ ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ จะขอพูดถึง การสอบ GED ซึ่งเป็นเส้นทางอีกสายหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในหลักสูตรภาคปกติได้ เช่น ผู้ที่เรียน Home School หรือผู้ที่เดินทางไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ การสอบ GED จะสามารถประหยัดเวลาในการเรียนซ้ำ
นอกจากนี้ การสอบ GED จะสามารถประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เรียนหลักสูตรนานาชาติ Cambridge IGCSE A Level หรือ IB Diploma มีค่าใช้จ่ายในการเรียนค่อนข้างสูง การสอบ GED จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเรียนมัธยมปลาย และค่าสอบ 4 วิชา เพียง USD $300 เท่านั้น
แต่วุฒิ GED ก็มีข้อดี และข้อเสียเช่นเดียวกัน น้องๆ หลายคนอาจศึกษามาจาก Pantip หรือ Dek-D เกี่ยวกับวุฒิ GED มาบ้างแล้ว โดยในบทความนี้ ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ จะขออธิบาย รูปแบบการสอบของ GED ใครบ้างที่ควรสอบ ข้อดี – ข้อเสีย เมื่อเลือกสอบ GED และข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าการสอบ GED เหมาะสมกับเราไหม สามารถศึกษาต่อได้ในบทความนี้เลยค่ะ
วุฒิ GED คืออะไร?
GED ย่อมาจาก General Educational Development ได้พัฒนาและเริ่มต้นขึ้นโดย American Council on Education (ACE) ในรัฐ Washington, DC โดยวัตถุประสงค์ของการสอบ GED คือ เพื่อให้ผู้ที่ไม่สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีโอกาสด้รับวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่าระดับการศึกษาในระดับมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา โดยการทดสอบเทียบกลุ่มสาระการเรียนรู้ 4 วิชา ได้แก่ Mathematical Reasoning (คณิตศาสตร์) Reasoning Through Language Arts (ภาษาอังกฤษ) Social Studies (สังคมศาสตร์) และ Science (วิทยาศาสตร์)
สำหรับวุฒิ GED ในประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยได้รับรองวุฒิการศึกษานี้ให้เทียบเท่าได้กับวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของประเทศไทย อย่างเป็นทางการ สามารถสอบได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี ซึ่งเริ่มกลายเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นสำหรับเด็กนักเรียนไทย เนื่องจากสามารถย่นระยะเวลาในการเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และสามารถยื่นผลสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศที่รับ GED ได้เลย นอกจากนี้ ยังเป็นหนทางสำหรับผู้ที่เรียนหลักสูตรนานาชาติ Cambridg IGCSE และไม่ต้องการที่จะเรียนต่อ A Level หรือ IB Program สามารถสอบ GED เทียบได้เลย โดย 97% มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ยอมรับผู้ที่มีวุฒิ GED
วุฒิ GED แตกต่างจากวุฒิ ม.ปลาย อย่างไร?
วุฒิ GED เป็นประกาศนียบัตรเทียบเท่าของโรงเรียนมัธยมปลาย ดังนั้นสามารถใช้เพื่อสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับวุฒิมัธยมปลาย โดย 97% ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอมรับ GED รวมถึงวิทยาลัยชุมชน Community College ด้วย
หากตัดสินใจที่จะทำงาน วุฒิ GED ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ผู้จ้างงานมองว่า GED นั้นเท่ากับประกาศนียบัตรมัธยมปลายดังนั้นไม่มีปัญหาในการสมัครงาน ตราบใดที่มีทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนั่นๆ
ในขณะที่ประกาศนียบัตรมัธยมปลาย High School Diploma เป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมสำหรับสายวิชาการ เน้นการเรียนแบบเจาะลึก และรอบด้าน ได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนในห้องเรียน และการทำกิจกรรมกับเพื่อนร่วมห้อง
คุณสมบัติผู้สมัครสอบ GED มีอะไรบ้าง?
- อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวันที่สอบ
- หรือ มี อายุ 16 ปีบริบูรณ์ ขึ้นไปในวันที่สอบ ทั้งนี้ ผู้ปกครองจะต้องกรอกฟอร์มขอยกเว้นอายุ (Age Exception) แล้วส่งไปที่ help@ged.com หลังจากที่ ศูนย์สอบได้รับแบบฟอร์มแล้ว จะพิจารณาและอนุมัติผ่านบัญชี GED.com ที่ผู้สมัครได้ลงทะเบียนไว้ให้สามารถดำเนินการสอบได้
อยากสอบ GED เริ่มต้นอย่างไร?
- เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่เตรียมพร้อมสำหรับการสอบ ตัวอย่าง เช่น แบบฝึกหัดจากหนังสือ หรือสื่อดิจิทัล หลายคนเตรียมความพร้อมโดยการเข้าเรียนสถาบันกวดวิชาที่ได้รับอนุญาต ที่เปิดสอนหลักสูตรเตรียมสอบ GED โดยเฉพาะ
- ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ (คลิก) หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะสามารถสมัครสอบ กำหนดวัน เวลาทำแบบทดสอบ และเลือกศูนย์สอบ GED ได้ และสามารถเลือกที่จะสอบ 1 วิชา หรือ 4 วิชา พร้อมกันได้
- ผู้สมัครสอบสามารถทำข้อสอบจำลองออนไลน์ได้ (Mock Test) ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม คลิก
สถานที่สอบ GED ในประเทศไทย มีทั้งหมด 5 ที่ ดังนี้
สถานที่สอบใน กทมฯ
- Paradigm: ชั้น 2 อาคารอัลม่าลิงค์ ชิดลม กทม. 092 063 5599
- Pearson Professional Centers: BB Building, ชั้น 10 ถนนอโศกมนตรี ซอยสุขุมวิท 21 กทม. 02 664 3563
สถานที่สอบในต่างจังหวัด
- Movaci Technology: 420/11-13 ถนนช้างคลาน อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 053 920 555
- Thabyay Education: อ.แม่สอด จ.ตาก
- Phuket Academic Language School: 66/19 ถนนวิจิตรสงคราม อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
วุฒิ GED จะต้องสอบวิชาอะไรบ้าง?
การสอบ GED เป็นการทดสอบกลุ่มสาระการเรียนรู้ 4 วิชา ได้แก่ Mathematical Reasoning (คณิตศาสตร์) Reasoning Through Language Arts (ภาษาอังกฤษ) Social Studies (สังคมศาสตร์) และ Science (วิทยาศาสตร์) ทำการทดสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด มีค่าใช้จ่าย USE $75 ต่อวิชา มีสี่วิชาในการทดสอบ ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการสอบทั้งหมด 4 วิชาคือ USD $300 (ประมาณ 9,600 บาท) โดยผู้สอบสามารถเลือกได้ว่าจะสอบทีละวิชา หรือสอบทุกวิชาพร้อมกัน
1. Mathematical Reasoning (คณิตศาสตร์)
เรียนรู้แนวคิดทางคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรขาคณิต พีชคณิต กราฟและฟังก์ชั่น เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง (ตัวอย่างข้อสอบ คลิก)
2. Reasoning Through Language Arts (ภาษาอังกฤษ)
เรียนรู้การอ่าน การเขียน แนวคิด และไวยากรณ์ การอ่านข้อความที่ตัดตอนมาจากแหล่งข้อมูลและวรรณกรรมที่หลากหลาย การแสดงความคิดเห็น และเขียนข้อสรุปชัดเจน และอธิบายว่าทำไมหลักฐานดังกล่าวสนับสนุนคำตอบ (ตัวอย่างข้อสอบ คลิก)
3. Social Studies (สังคมศาสตร์)
เรียนรู้ที่จะใช้แนวคิดการศึกษาสังคม รู้วิธีการอ่านกราฟและแผนภูมิที่แสดงข้อที่เกี่ยวข้องทางสังคม และใช้การให้เหตุผลในการตีความข้อมูล การสอบสังคมศึกษาไม่ได้เกี่ยวกับการท่องจำ คุณไม่จำเป็นต้องจำเมืองหลวงของประเทศ หรือวันที่ที่เกิดเหตุการณ์ (ตัวอย่างข้อสอบ คลิก)
4. Science (วิทยาศาสตร์)
เรียนรู้ที่จะเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ วิธีการอ่านกราฟและแผนภูมิที่แสดงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และใช้การให้เหตุผลในการตีความข้อมูลวิทยาศาสตร์ การสอบวิทยาศาสตร์ไม่ได้เกี่ยวกับการท่องจำ ไม่จำเป็นต้องจำตารางธาตุ แต่จะต้องรู้จักชื่อและสัญลักษณ์ขององค์ประกอบหลัก (ตัวอย่างข้อสอบ คลิก)
ผลสอบ GED มีเกณฑ์การคิดคะแนนอย่างไร?
การสอบ GED แต่ละวิชา มีคะแนนเต็ม 200 คะแนน โดยผู้สอบจะต้องได้คะแนนแต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 145 คะแนน ถึงจะผ่านรายวิชานั้นๆ นอกจากนี้ ยังมีการให้คะแนน The GED®College Ready (CR) และ GED® College Ready + Credit (CR+) ซึ่งเป็นคะแนนการันตีสำหรับนักเรียนว่ามีความพร้อมในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย
หากสอบไม่ผ่านรายวิชาใดรายวิชาหนึ่ง สามารถทำการสอบซ้ำได้ 3 ครั้ง (โดยเสียค่าใช้จ่ายเท่าเดิม) หากสอบซ้ำ 3 ครั้ง ก็ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะต้องรอ 60 วัน ก่อนทำข้อสอบซ้ำในวิชานั้นๆ หรือหากผลสอบผ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องการสอบซ้ำ เพื่อให้ได้คะแนนที่สูงขึ้น สามารถทำได้โดยการส่งอีเมลอธิบายถึงสาเหตุที่จะต้องสอบอีกครั้งไปที่ help@ged.com
เกณฑ์การให้คะแนนวุฒิ GED
- คะแนน GED® Below Passing (100 – 144 คะแนน) ไม่ผานเกณฑ์หรือคะแนนสอบไม่แสดงให้เห็นถึงทักษะที่เทียบเท่าการศึกษาระดับมัธยมปลาย
- คะแนน GED® Passing Score (145 – 164 คะแนน) ผานเกณฑ์หรือคะแนนสอบแสดงให้เห็นถึงทักษะที่เทียบเท่าการศึกษาระดับมัธยมปลาย
- คะแนน GED® College Ready (165 – 174 คะแนน) ผานเกณฑ์หรือคะแนนสอบแสดงให้เห็นถึงทักษะที่เทียบเท่าการศึกษาระดับมัธยมปลาย และแสดงให้เห็นถึงทักษะที่สามารถผ่านการคัดเลือกในการเข้าเรียนวิทยาลัยได้
- คะแนน GED® College Ready + Credit (175 – 200 คะแนน) ผานเกณฑ์หรือคะแนนสอบแสดงให้เห็นถึงทักษะที่เทียบเท่าการศึกษาระดับมัธยมปลาย และแสดงให้เห็นถึงทักษะที่สามารถผ่านการคัดเลือกในการเข้าเรียนวิทยาลัยได้อย่างดีเยี่ยม และเทียบเท่ากับคะแนนสูงสุด 1 – 8% ของค่าเฉลี่ยการสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายของประเทศ
คำแนะนำสำหรับการใช้วุฒิ GED ในการเข้ามหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยโดยทั่วไป รับนักศึกษาวุฒิ GED โดยไม่ได้ดูคะแนน ดังนั้น หากสอบทั้งผ่าน 4 วิชา และได้รับวุฒิ GED เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถยื่นเรื่องสมัครเรียนได้เลย
- หากคุณสมบัติของหลักสูตรที่เลือกเรียน ต้องการคะแนนอื่นๆ เช่น SAT หรือ ACT ผู้ที่มีวุฒิ GED ก็จะต้องมีคะแนนเช่นเดียวกันถึงจะสามารถสมัครเรียนได้
- บางมหาวิทยาลัย มีเกณฑ์การรับนักศึกษา โดยผู้ที่ยื่นวุฒิ GED จะต้องได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ซึ่งคะแนนเฉลี่ย วุฒิ GED ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 157 คะแนน ดังนั้น ผู้สอบควรได้คะแนนที่สูงกว่า 157 คะแนนขึ้นไป จึงจะดีที่สุด
- หากต้องการสมัครทุนการศึกษาด้วย ผู้สมัครควรได้คะแนน GED College Ready + Credit (175 – 200 คะแนน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้สมัคร มีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม สูงกว่าค่าเฉลี่ย Top 8% ของประเทศ และยิ่งได้คะแนนมากเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสได้รับทุนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากสอบผ่านเรียบร้อยแล้ว จะได้รับใบประกาศเมื่อไหร่?
หลังจากผ่านการทดสอบ ลิงก์ประกาศนียบัตรทางอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งไปยังที่อยู่อีเมลที่เชื่อมโยงกับบัญชี GED เมื่อคุณผ่านการทดสอบ GED ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้สอบสามารถขอรับประกาศนียบัตรแบบพิมพ์ได้ฟรีหนึ่งฉบับ โดยผู้สมัครจะต้องเข้าสู่ระบบ ไปที่คะแนนของฉัน เลือกคำสั่งซื้อประกาศนียบัตรแบบสิ่งพิมพ์ จากนั้นเลือก Free Option กรอกที่อยู่ทีต้องการให้ส่งประกาศนียบัตร และชำระเงินค่าขนส่ง ทางศูนย์ทดสอบ GED จะส่งประกาศนียบัตรแบบสิ่งพิมพ์ผ่านวิธีการจัดส่งของ FedEx ซึ่งเป็นบริการจัดส่งที่รวดเร็วปลอดภัยและเชื่อถือได้ และสามารถติดตามทุกขั้นตอนผ่านทางเว็บไซต์
ตัวอย่างใบประกาศอย่างเป็นทางการ Official GED Transcript
การขอการรับรองความถูกต้อง (Apostille)
โดยปกติแล้ว คุณประกาศนียบัตร GED นั้นเพียงพอแล้วสำหรับการยื่นเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าหากสถาบัน และมหาวิทยาลัยบางแห่ง กำหนดให้ผู้ที่ยื่นประกาศนียบัตร GED ต้องได้รับการรับรองความถูกต้องอย่างเป็นทางการ (Apostille) ทางศูนย์ GED จะจัดเตรียมเอกสารรับรองที่จำเป็นโดยจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง หากต้องการเอกสารรับรองความถูกต้อง (Apostille) สามารถส่งคำร้องขอไปที่อีเมล help@ged.com ได้
ข้อดี – ข้อเสีย ของวุฒิ GED มีอะไรบ้าง?
ข้อดีของวุฒิ GED มีอะไรบ้าง?
- GED เป็นการสอบเทียบมัธยมปลาย หรือ ม.6 เหมาะสำหรับนักเรียน และบุคคลทั่วไป ที่ไม่สามารถเข้าเรียนภาคปกติได้ หรือผู้ที่เรียน Home School
- สามารถสอบได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี (ผู้ปกครองต้องอนุญาต) เมื่อสอบผ่าน สามารถนำวุฒิการศึกษายื่นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เลยโดยไม่ต้องเรียนต่อจนจบ ม.6
- วุฒิ GED สอบเพียง 4 วิชาเท่านั้น คือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และสังคมศาสตร์ และข้อสอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวกากบาท ทำข้อสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ การทำข้อสอบยืดหยุ่น สามารถเลือกวันสอบได้ และสามารถสอบซ่อมได้ 3 ครั้ง (มีค่าใช้จ่าย)
- วุฒิ GED สามารถยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาหรือแคนาดาได้เกือบทุกมหาวิทยาลัย และสามารถยื่นเข้ามหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย ในหลักสูตรนานาชาติได้ด้วย
- ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องเรียนในระดับมัธยมปลาย โดยการสอบ GED มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4 วิชาเพียง US $300 เท่านั้น และอาจสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีได้เร็วขึ้นอีกด้วย
- ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เนื่องจากข้อสอบ GED ใช้ภาษาอังกฤษในการสอบ ดังนั้น ผู้ที่สอบจะได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยไปในตัวด้วย
ข้อเสียของวุฒิ GED มีอะไรบ้าง?
- ผู้ที่สอบ GED จะขาดความรู้ด้านวิชาการเชิงลึก และประสบการณ์เฉพาะด้านอาจไม่เทียบเท่าผู้ที่เรียนสายสามัญ เพราะการสอบ GED สอบแค่ 4 สาระการเรียนรู้เท่านั้น และสถาบันกวดวิชาส่วนใหญ่ ก็เน้นสอนเกี่ยวกับการทำข้อสอบ ไม่ได้สอนเจาะลึกในเนื้อหารายวิชานั้นๆ
- การสอบ GED วัตถุประสงค์หลักคือการสอบเทียบวุฒิในระดับมัธยมปลาย ดังนั้น เมื่อสอบผ่านแล้ว ผู้สอบจะได้แค่ประกาศนียบัตร GED เท่านั้น จะไม่มีผลการเรียนรายวิชา เกรดเฉลี่ย เหมือนกับการเรียนมัธยมปลาย
- บางมหาวิทยาลัย จะรับนักศึกษาอายุ 18 ปี ขึ้นไป ดังนั้น หากสอบผ่านตั้งแต่อายุ 16 – 17 ปี อาจจะยังไม่สามารถเริ่มเรียนปริญญาตรีได้ทันที แต่สามารถทำเรื่องสมัครเรียนก่อนได้ โดยในวันที่เริ่มเรียน ผู้เรียนจะต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
- สิ่งที่พบเจอเมื่อผู้สอบ GED เข้าเรียนมหาวิทยาลัยคือ ขาดการเข้าสังคม ขาดกระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภิปราย การนำเสนองาน จึงต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อายุเพียง 16 – 17 ปี เนื่องจากสภาวะสังคมจาก โรงเรียนมัธยมต้น ก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยทันที อาจทำให้เกิดความเครียด ทั้งในด้านการเรียน และการเข้าสังคม
- ข้อสอบ GED สอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ดังนั้น ผู้สอบจะต้องมีความชำนาญภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง อาจเป็นข้อดีหากต้องการฝึกทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ
- วุฒิ GED ถึงแม้ 97% มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะยอมรับ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยสำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศในยุโรป และประเทศอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในรายชื่อการยอมรับ จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติการรับเข้าของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ชัดเจน บางมหาวิทยาลัยอาจขอให้ทำเรื่องรับรองวุฒิเพิ่มเติม
- มีทุนการศึกษาให้น้อย เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าวุฒิ GED เป็นวุฒิการศึกษาแบบสอบเทียบ ดังนั้น จึงมีข้อจำกัดในการขอทุนการศึกษา โดยเฉพาะทุนรัฐบาล หรือทุนการศึกษาที่มีการแข่งขันทางวิชาการสูง หากต้องการเรียน และวางแผนขอทุนด้วย แนะนำว่าให้เรียนเป็นระบบการศึกษาภาคปกติจะดีที่สุด
ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลาออกจากระบบโรงเรียนปกติเพื่อที่จะสอบเทียบวุฒิ GED
วุฒิ GED ไม่ได้มีการยอมรับให้สามรถสมัครเรียนปริญญาตรีได้ทุกประเทศ ถึงแม้ 97% มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะยอมรับ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยสำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศในยุโรป และประเทศอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในรายชื่อการยอมรับ จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติการรับเข้าของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ชัดเจน บางมหาวิทยาลัยอาจขอให้ทำเรื่องรับรองวุฒิเพิ่มเติม หรืออาจจะไม่สามารถใช้ GED สมัครเรียนได้เลย ดังนั้น หากไม่ได้วางแผนที่จะเรียนต่อ ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หรือหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศไทย ควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อที่จะสอบ GED
รู้หรือไม่? มีวุฒิ GED แล้ว ไม่ได้หมายความคุณจะมีคุณบัติพร้อมเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยได้ทันที
ปกติแล้ว น้องๆ ที่มีอายุ 18 ปี และมีวุฒิ GED ถึงแม้จะไม่ได้เรียนในจบในระดับมัธยมปลาย ก็สามารถเรียนต่อปริญญาตรีในต่างประเทศ หรือในประเทศไทยได้เลย กรณีที่มหาวิทยาลัยที่เลือกเรียนต่อ สามารถรับเข้าเรียนตรงได้ (Direct Entry) ซึ่งหากเลือกเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศอเมริกาหรือประเทศแคนาดาก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะมหาวิยาลัยกว่า 97% รับรองวุฒิ GED แต่หากวางแผนเรียนต่อปริญญาตรี ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ไดรับรองวุฒิ GED อย่างเป็นทางการ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือในยุโรป ผู้เรียนจะต้องเช็คคุณสมบัติการรับเข้าเรียนในแต่ละมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม
สำหรับน้องๆ ที่ได้วุฒิ GED ตั้งแต่อายุ 16 – 17 ปี และมหาวิทยาลัยยังไม่สามารถรับเข้าเรียนได้เนื่องจากอายุยังไม่ถึง 18 ปี หรือ มหาวิทยาลัยที่น้องๆ ต้องการ ไม่รับวุฒิ GED ในการเข้าเรียนต่อโดยตรง (Direct Entry) หรือน้องๆ บางคนยังไม่มั่นใจว่าหากข้าไปเรียนในระดับปริญญาตรีอาจจะเร็วเกินไป ด้วยความพร้อมในด้านต่างๆ หรือทักษะในการเรียนระดับปริญญาตรียังไม่พร้อม เช่น การเข้าสังคม ขาดกระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภิปราย การนำเสนองาน ความรับผิดชอบที่ต้องสูงสำหรับการเรียนในมหาวิทยาลัย ดังนั้น สำหรับน้องๆ บางคนอาจจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เดอะเบสท์มีแนวทางในการวางแผนเรียนต่อให้น้องๆ เพิ่มเติมคือ น้องๆ สามารถเข้าเรียนหลักสูตรสายอาชีพ Certificate, Diploma หรือหลักสูตรเตรียมความพร้อมเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี International Foundation Programme ก่อนได้ แล้วเทียบโอนหน่วยกิต (Pathway) เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีใน มหาวิทยาลัย เนื่องจาก สถาบันวิชาชีพ สถาบันโพลิเทคนิค University International College ส่วนใหญ่จะรับวุฒิ GED สำหรับการเรียนต่อ และยืดหยุ่นมากกว่า และบางสถาบันสามารถรับนักเรียนเข้าเรียนได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี
หลักสูตร Diploma หรือ Foundation โดยปกติแล้ว จะใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 1 เทอม ถึง 1 ปี ซึ่งน้องๆ จะได้มีโอกาสเรียนปรับพื้นฐาน พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ทักษะทางวิชาการเฉพาะทางในสาขาวิชาที่วางแผนไว้ในระดับมหาวิทยาลัย ผู้ที่เรียนหลักสูตรงวิชาชีพ Diploma หรือ Foundation จะมีความพร้อมในการเข้าเรียนมากกว่าผู้ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยทันที
นอกจากนี้ หลักสูตร Diploma หรือ Foundation สามารถลด Culture Shock ได้ด้วย เนื่องจากบนักเรียนส่วนใหญ่ จะเป็นนักเรียนชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน และครูผู้สอนก็มีประสบปการณ์การสอนชาวต่างชาติเป็นอย่างดี เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม และพร้อมให้คำปรึกษาทั้งด้านการเรียน และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ
การเรียนหลักสูตร Diploma
การเรียนในระดับดิปโพลมา (Diploma) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการเรียนสายอาชีพและการฝึกอบรม Vocational Education and Training (VET) โดยหลักสูตรจะเน้นทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน การเรียนการสอนควบคู่ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ บางหลักสูตร มีการฝึกงานด้วยเช่นกัน เมื่อสำเร็จการศึกษา สามารถประกอบอาชีพได้ทันที โดยหลักสูตรดิปโพลมามีหลากหลายระดับด้วยกัน ดังนี้
- Certificate I-II
- Certificate III-IV
- Diploma and advanced diploma
- Graduate Diploma
นอกจากนี้ การเรียนในระดับดิปโพลมา ยังเป็นใบเบิกทางสำหรับการเรียนต่อระดับปริญญาตรีด้วย โดยส่วนใหญ่ จะเทียบเท่ากับวุฒิปริญญาตรี 1 ปี ซึ่งนักเรียนหลายคน เลือกที่จะเรียนดิปโพลมาก่อน เพื่อค้นหาความสนใจของตัวเอง ถ้าหากชอบหรือสนใจอยากเรียนต่อ สามารถเทียบโอนหน่วยกิต (Pathway) เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้อีกด้วย และในระหว่างเรียนในระดับปริญญา ยังสามารถใช้วุฒิการศึกษาในระดับดิปโพลมา สมัครงานพาร์ทไทม์ได้อีกด้วย ซึ่งก็จะได้มีโอกาสได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า
โดยปกติแล้ว วุฒิการศึกษา Diploma จะเปิดสอนใน Community College ในสหรัฐอเมริกา College ในแคนาดา สถาบันวิชาชีพรัฐบาล และเอกชน ในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
เรียนต่อต่างประเทศ ระหว่าง ปริญญา กับ ดิปโพลมา เลือกเรียนแบบไหนคุ้มค่ามากกว่ากัน
การเรียนหลักสูตร International Foundation
หลักสูตร International Foundation เป็นหลักสูตรปรับพื้นฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนจบหลักสูตรนานาชาติ แต่ต้องการเข้าเรียนต่อในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย หรือ ประเทศนิวซีแลนด์ โดยหลักสูตร Foundation จะช่วยปรับพื้นฐาน เป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อ (Pathway) ระหว่างวุฒิการศึกษาปัจจุบัน ให้ตรงกับข้อกำหนด และเงื่อนไขในการเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งหากน้องๆ เรียนหลักสูตรนานาชาติ Cambridge IGCSE A Level IB Diploma หรือเรียนจบชั้น Year 13 มาแล้ว แต่คะแนนยังไม่เป็นที่พึงพอใจ สามารถเข้าเรียนต่อหลักสูตร Foundation เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้
สรุปข้อมูลหลักสูตร International Foundation Program คืออะไร อ่านเพิ่มเติม คลิก
การเรียนหลักสูตรอนุปริญญาตรี Associate Degree
หลักสูตรอนุปริญญาตรี Associate Degree เป็นหลักสูตรที่เรียนในวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะเปิดสอนในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ สำหรับสหรัฐอเมริกา จะเรียนในวิทยาลัยเทคนิค Technical College วิทยาลัยชุมชน Community College วิทยาลัยเอกชน Private College หรือมหาวิทยาลัย University บางแห่งที่เปิดสอน ซึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษา จะได้ใบประกาศนียบัตรหลักสูตรอนุปริญญาตรี สามารถนำใบประกาศนียบัตรนี้ เทียบโอนหน่วยกิตเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปี 3 ได้เลยโดยไม่ต้องเรียนซ้ำปี 1 – 2 นั่นหมายความว่า จะเหลือระยะเวลาเรียนในระดับปริญญาตรีอีกเพียง 2 ปี เท่านั้น ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงมากเลยทีเดียว
วุฒิ GED กับการขอทุนเรียนต่อปริญญาตรีต่างประเทศ สามารถขอทุนได้หรือไม่?
ทุนการศึกษาส่วนใหญ่ ก็จะมีเกณฑ์การรับสมัครที่แตกต่างกัน บางทุนมอบให้โดยดูแค่ว่าเป็นนักศึกษาต่างชาติ หรือ บางทุนก็ไม่ได้ดูเกรดเฉลี่ยในการสมัคร ดังนั้น ผู้ที่มีวุฒิ GED มีโอกาสขอทุนเหล่านี้ได้
ตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่มอบทุนการศึกษา
- CQUniversity ประเทศออสเตรเลีย มอบทุนการศึกษาทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ International Scholarship มูลค่า 20% (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
- Macquarie University ประเทศออสเตรเลีย มอบทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ASEAN Scholarship วุฒิปริญญาตรี – โท มูลค่า 10,000 AUD ต่อปี จนเรียนจบ (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
- Otago Polytechnic ประเทศนิวซีแลนด์ มอบทุนการศึกษาเรียนต่อ ป.ตรี นิวซีแลนด์ สำหรับนักศึกษาต่างชาติ มูลค่ากว่า 300,000 บาท (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
- Le Cordon Bleuประเทศนิวซีแลนด์ มอบทุนการศึกษามูลค่า NZ$7,770 หรือ 15% ของค่าธรรมเนียมการศึกษา (โดยจะแบ่งจ่ายให้ในปีที่ 2 และ ปีที่ 3 ปีละ NZ$ 3,885) (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
- Tokyo International University (TIU) ประเทศญี่ปุ่น มอบทุนการศึกษาในหลักสูตร English Track Program (E-Track) สูงสุด 100% (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
มีวุฒิ GED แล้ว วางแผนเรียนต่อต่างประเทศอย่างไรดี?
วุฒิการศึกษา GED ได้รับการออกแบบและพัฒนาจาก American Council on Education (ACE) ในรัฐ Washington, DC ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น เกือบทุกมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดายอมรับวุฒิการศึกษาจาก GED นอกจากนี้ ได้ขยายการยอมรับไปยังต่างประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศมาเลเซีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ ผู้เรียนจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการเรียนต่อชัดเจน ว่าจะเรียนหลักสูตรไหน และวางแผนการทำงานในอนาคนอย่างไร ถ้าหากยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ มีตัวช่วยในการพิจารณาเบื้องต้น ดังนี้
1. วางแผนเป้าหมายในการเรียน และการทำงานในอนาคตอย่างไร?
ตอบคำถามตัวเองว่าชอบเกี่ยวกับอะไร อยากเรียนเกี่ยวกับอะไร และอยากทำงานอะไรในอนาคต เช่น แพทย์ พยาบาล ทันตะแพทย์ วิศวกรรม กฏหมาย นักโบราณคดี นักจิตวิทยา สถาปัตยกรรม การท่องเที่ยว การเงิน ศิลปะ เป็นต้น
2. วางแผนเลือกเรียนประเทศไหน
ถ้าหากผู้เรียนมีวัตถุประสงค์เข้าเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ แคนาดาอยู่แล้ว ก็สามารถทำเรื่องสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยได้เลย แต่ถ้าหากผู้เรียนวางแผนเรียนประเทศอื่น เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรป อาจต้องสอบถามกับทางมหาวิทยาลัยก่อนว่า รับผู้ที่มีวุฒิ GED หรือไม่ บางมหาวิทยาลัยอาจไม่คุ้นเคยกับวุฒิ GED และอาจจะต้องขอให้รับรองความถูกต้องก่อน (Apostille) ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น แนะนำให้สอบถามกับทางศูนย์ฯ เดอะเบสท์ก่อนล่วงหน้า 3 – 4 เดือนจะดีที่สุด
3. มีงบประมาณในการเรียนต่อปีเท่าไหร่?
งบประมาณในการเรียนต่อปริญญาตรีในแต่ละประเทศแตกต่างกัน มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา มีหลากหลายราคา ตั้งแต่ ปีละประมาณ 5 แสน – 1 ล้านบาท ดังนั้นแนะนำให้เลือกมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์กับงบประมาณของผู้เรียนมากที่สุด สำหรับประเทศอังกฤษค่าใช้จ่ายก็ใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หากต้องการคำปรึกษา หรือขอทราบค่าใช้จ่ายมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ได้เลย
สำหรับประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อาจจะต้องเตรียมเงินประมาณ 6 – 7 แสนบาทต่อปี สำหรับใครที่คิดว่างบประมาณค่าใช้จ่ายต่อปี 5 แสนถึงหลักล้านสูงเกินไป แนะนำให้ลองพิจารณาการเรียนต่อประเทศในโซนยุโรปเพราะค่าเรียนไม่สูง เพราะค่าใช้จ่ายการเรียนหลักสูตรปริญาตรี (หลักสูตรอินเตอร์) เริ่มต้นเพียง 1.5 – 3 แสนบาทต่อปี
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนี้ที่ต้องเตรียมคือ ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับค่าครองชืพ ค่าที่พัก ค่าอีกด้วยที่เราต้องพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งหากคุณต้องการเรียนต่อในอเมริกา แคนาดา หรืออสเตรเลีย และต้องการประหยัดงบประมาณ อาจมองเป็นสถาบันวิชาชีพ หรือวิทยาลัยชุมชน Community College ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเรียนใน University โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 3 – 5 แสนบาทต่อปีเท่านั้น หลังจากนั้นสามารถ Pathway เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้
4. วางแผนเรียนหลักสูตรอะไร มหาวิทยาลัยไหน และคุณสมบัติพร้อมเข้าเรียนหรือไม่?
ตรวจสอบคุณสมบัติของหลักสูตร และมหาวิทยาลัยที่เข้าเรียนให้พร้อม เช่น อายุตรงตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยรับเข้าเรียนหรือไม่ และผลภาษาอังกฤษพร้อมเข้าเรียนหรือไม่ บางหลักสูตรอาจต้องการคะแนนสอบอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น SAT, ACT ซึ่งหากคุณสมบัติยังไม่พร้อมเข้าเรียน อาจจะต้องลงเรียนหลักสูตรอื่นๆ เช่น Certificate Diploma หรือ International Foundation Programme เพื่อ Pathway เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี
5. ควรวางแผนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?
ควรตัดสินใจและวางแผนตั้งแต่ตัดสินใจที่สอบวุฒิ GED เลย จะดีที่สุด เพราะจะได้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า จะนำวุฒิ GED ไปใช้ในทิศทางใด แต่ถ้าหากผู้ที่มีวุฒิ GED อยู่แล้ว ศูนย์ฯ เดอะเบสท์แนะนำให้วางแผนล่วงหน้าก่อนเปิดทอมอย่างต่ำ 4 เดือนจะดีที่สุด
สำหรับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุในรายชื่อด้านล่าง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ได้ เนื่องจากจำนวนมหาวิทยาลัยที่รับวุฒิ GED เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ดังนั้น สามารถตรวจสอบกับมหาวิทยาลัยเพื่อยืนยันการรับวุฒิ GED อย่างเป็นทางการได้
สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email : contact@thebest-edu.com
Line : @thebesteduหรือคลิ๊กเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ
มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา (USA) และแคนาดา (Canada) ที่รับวุฒิ GED
97% ของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดายอมรับ GED อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ศึกษาเงื่อนไขการรับสมัครของสาขาวิชา ในมหาวิทยาลัยที่สนใจเรียนต่อให้ชัดเจน ถ้าเป็นหลักสูตรเฉพาะทางอาจจะต้องสอบ SAT หรือ ACT ประกอบด้วย ว่าเกณฑ์การรับวุฒิ GED ต้องมีคะแนนเท่าไหร่ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ ได้
รู้หรือไม่? ไม่ต้องใช้ผล GED ก็เรียนต่อปริญญาตรี ที่อเมริกาได้ กับโครงการ International High School Completion ทางลัดในการเรียนจบปริญญาตรีได้ก่อนอายุ 20 ปี (ไม่ต้องใช้ผล GED เรียนได้เลย)
สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังจะวางแผนเรียนต่อปริญญาตรี ที่สหรัฐอเมริกา เราขอแนะนำโครงการ International High School Completion โครงการที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในอเมริการวดเร็วขึ้น โดยระบบการศึกษาในรัฐวอชิงตัน นักเรียนมัธยมปลายที่มีคุณสมบัติ และมีความรับผิดชอบ สามารถข้ามการเรียนในระดับมัธยมปลาย 2 ปีสุดท้ายใน Grade 10 – 11 (หรือนักเรียนไทยต้องเรียนจบ ม.3 ขึ้นไป) เมื่อเข้าเรียนโปรแกรมนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนต่อในวุฒิอนุปริญญา หรือที่เรียกว่า Associate Degree (หรือหลักสูตร 2+2 Transfer Program) ในสาขาที่ตนเองต้องการเรียนต่อ โดยในขณะที่เรียนวิชาของ Associate Degree ก็จะได้รับหน่วยกิตของหลักสูตรมัธยมปลายของรัฐวอชิงตัน
โครงการนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนจบ ม.ปลาย ไม่จำเป็นต้องสอบเทียบ GED ไม่ต้องเก่งภาษาก็เรียนได้เพราะมีหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ESL ให้ทางเลือกสู่การเรียนต่อในระบบการศึกษาที่ดีกว่า
- อยากออกจากรอบระบบการศึกษาแบบเดิมๆ
- อยากประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายกว่า 50%
- ค่าเทอมหลักแสน ผ่อนชำระค่าเรียนได้
- ได้เรียนต่อประเทศที่มีระบบการศึกษาอันดับ 1 ของโลก
- โอกาสขอทุนมหาวิทยาลัย Top University
โปรแกรมนี้เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับนักศึกษาชาวยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน แต่นักเรียนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักกันมากเท่าไหร่ ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ จึงขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม High School Completion ในบทความนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับน้อง ๆ ที่อยากจะเรียนจบปริญญาตรีที่อเมริกาเร็วขึ้น และประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเรียน
คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ International High School Completion
มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร (UK) ที่รับวุฒิ GED
การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ จะต้องใช้วุฒิเทียบเท่า A Level, IB Diploma หรือ International Foundation Programme ในการเข้าเรียนต่อ มีมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร หรือประเทศอังกฤษน้อยมาก ที่เปิดรับวุฒิ GED สำหรับการเรียนต่อปริญญาตรี แต่ถ้าหาก น้องๆ มีวุฒิ GED แล้ว และต้องการเรียนต่อในสหราชอาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ สามารถเข้าเรียนหลักสูตร International Foundation Programme และเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เป็นพาร์ทเนอร์ได้
มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น (Japan) ที่รับวุฒิ GED
หากต้องการเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศญี่ปุ่นผู้สมัครจะต้องสอบถามทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนก่อนว่ารับผู้ที่จบวุฒิ GED หรือไม่ ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยนานาชาติโตเกียว Tokyo International University รับสมัครผู้ที่มีวุฒิ GED พร้อมมอบทุนการศึกษาในหลักสูตร English Track Program (E-Track) สูงสุด 100% แต่ผู้สมัครจะต้องอายุ 18 ปีบริบูรณ์ในวันเริ่มเรียน (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย (Australia) ที่รับวุฒิ GED
มหาวิทยาลัยที่ยอมรับวุฒิ GED ในประเทศออสเตรเลียมีทุกรัฐ ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐบาล และมหาวิทยาลัยเอกชน และอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเรียนต่อออสเตรเลียคือ ผู้ที่มีวุฒิ GED สามารถเข้าเรียนหลักสูตรวิชาชีพ Certificate Diploma ได้ด้วย ซึ่งเกณฑ์การรับเข้าจะง่ายกว่า และสามารถ Pathway เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย สามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียดหลักสูตร และค่าใช้จ่ายกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ได้เลย
- Australian Catholic University
- Central Queensland University (ข้อมูลมหาวิทยาลัย คลิก / ข้อมูลทุนการศึกษา คลิก)
- Curtin University
- Griffith University
- Macquarie University (ข้อมูลทุนการศึกษา คลิก)
- RMIT University
- Southern Cross University (ข้อมูลมหาวิทยาลัย คลิก)
- Taylors College
- The University of Adelaide
- The University of New South Wales
- The University of Queensland
- University of Melbourne
- University of Tasmania
- Western Sydney University
มหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์ (New Zealand) ที่รับวุฒิ GED
สำหรับประเทศนิวซีแลนด์ มีเงื่อนไขคล้ายคลึงกับประเทศออสเตรเลีย โดยมหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์ มีทั้งหมด 8 แห่ง มี 5 แห่งที่เปิดรับวุฒิ GED เปิดรับทั้งมหาวิทยาลัย และสถาบันวิชาชีพ เช่นเดียวกัน สามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียดหลักสูตร และค่าใช้จ่ายกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ได้เลย
- Massey University
- University of Canterbury
- University of Auckland
- University of Waikato
- Victoria University of Wellington
เรียนต่อปริญญาตรี – โท และวิชาชีพ ที่สิงคโปร์ กับ SIM Global Education รับวุฒิ GED ด้วย
SIM Global Education (SIM GE) เป็นสถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนำของสิงคโปร์ มีหลักสูตรการศึกษามากกว่า 80 หลักสูตร ตั้งแต่ประกาศนียบัตรจบการศึกษาและหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตจนถึงปริญญาตรีและปริญญาโท โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมายจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย มีจำนวนจักเรียนกว่า 20,000 คน มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
วุฒิ GED กับการเรียนต่อในเมืองไทย
เกือบทุกมหาวิทยาลัย จะรับนักศึกษาที่จบวุฒิ GED เพราะกระทรวงศึกษาธิการ ยอมรับให้วุฒิ GED เทียบเท่ากับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หากใครสนใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทย แนะนำให้สอบถามข้อมูลกับทางคณะ ของมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น
- Assumption University
- Burapha University
- Chiangmai University
- Chulalongkorn University
- Dhurakij Bundit University
- Kasetsart University
- Khon Kaen University
- Mae Fah Luang University
- Mahidol University
- Ramkhamkaeng University
- Rangsit University
- Siam University
- Silpakorn University
- Stamford University
- Thammasat University
- Webster University
นอกจากวุฒิ GED แล้ว สิ่งที่ต้องมีสำหรับเรียนต่อต่างประเทศคือ ผลภาษาอังกฤษ
โดยปกติทั่วไปแล้ว นักเรียนต่างชาติ ที่ต้องการเรียนต่อต่างประเทศ จะต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ ตัวอย่าง เช่น
- หลักสูตรปริญญาตรี Bachelor Degree จะต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษ IELTS ขั้นต่ำ 6.0 โดยทุกแบนด์ไม่ต่ำกว่า 5.5 (ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรแกรม)
- หลักสูตรวิชาชีพ Diploma จะต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษ IELTS ขั้นต่ำ 5.5 โดยทุกแบนด์ไม่ต่ำกว่า 5.5 (ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรแกรม)
- หลักสูตร Foundation จะต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษ IELTS ขั้นต่ำ 4.0 – 5.5 (ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรแกรม)
หากคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ สามารถเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศได้
หากคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ตั้งเป้าหมายในการเรียนก่อนว่า ต้องการเรียนที่สถาบันไหน มหาวิทยาลัยไหน และปรึกษาจากเอเจ้นท์ เพื่อขอทำ Placement Test หรือ ทำข้อสอบของทางมหาวิทยาลัยก่อน หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จ ทางสถาบัน หรือมหาวิทยาลัยจะเป็นคนตัดสินว่า สามารถเริ่มเรียนได้เลยไหม หรือจะต้องเรียนภาษาเพื่อปรับพื้นฐานก่อน
แต่ถ้าหากไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย เดอะเบสท์ แนะนำให้ไปเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษทั่วไปก่อน General English เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านภาษาอังกฤษ ลองทำความเข้าใจกับบทความ ไม่เก่งภาษาเลย ต้องเรียนนานเท่าไหร่ เรียนคอร์สอะไร วางแผนการเรียนอย่างไรดี (คลิก) เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินระยะเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศด้วยตนเอง
เป็นอย่างไรบ้างคะกับข้อมูลการสอบ GED บทความนี้ อาจตอบคำถามน้องๆ ได้แล้วนะคะว่าตัวเองเหมาะสำหรับการสอบเทียบ GED หรือไม่ สำหรับน้องๆ ที่มีวุฒิ GED และกำลังมองหาที่เรียนต่อต่างประเทศ สามารถสอบถาม และขอข้อมูลเพิ่มเติมกับทาง ศูนย์ฯ เดอะเบสท์ ได้เลยค่ะ เราพร้อมจะหาสถาบัน มหาวิทยาลัย ที่รับน้องๆ เข้าเรียน และตอบโจทย์กับความต้องการของน้องๆ มากที่สุด
ติดต่อเดอะเบสท์เพื่อสอบถามข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มเติม
เดอะเบสท์ เป็นศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรียนต่อต่างประเทศครบวงจร เราเป็นตัวแทนที่ให้บริการแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และ ประเทศอื่นๆ อีก 25 ประเทศทั่วโลก เรายินดีให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มสมัครเรียน จนสำเร็จการศึกษา รวมถึงดูแลนักเรียนระหว่างเรียนจนนักเรียนเรียนจบด้วยทีมผู้เชียวชาญในด้านการเรียนต่อต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ขั้นตอนเหล่านี้เราดำเนินการให้ฟรี และเราพร้อมที่จะทำตามคุณภาพ และมาตรฐานดังสโลแกนที่ว่า “We are Quality”
บริการของเรามีอะไรบ้าง ?
- ฟรี!! บริการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศทุกระดับชั้นทั่วโลก ตั้งแต่ โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม สถาบันวิชาชีพ และสถาบันในระดับอุดมศึกษา รวมถึงหลักสูตรภาษาต่างประเทศ และเลือกสถาบันที่ดีที่สุดให้กับผู้เรียน
- เราให้ความช่วยเหลือตั้งแต่การประสานงานโรงเรียน เลือกโรงเรียนให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน เตรียมเอกสารสมัครเรียน และดำเนินเรื่องสมัครเรียนให้ฟรี
- บริการเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าครบวงจร และบริการยื่นวีซ่ากว่า 25 ประเทศทั่วโลก พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าอย่างตรงจุด และแนะนำวิธีการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์วีซ่า
- บริการแปลเอกสาร ภาษาไทย – ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอังกฤษ – ภาษาไทย รวมถึงภาษาที่ 3 เริ่มต้นเพียงแผ่นละ 200 บาท
- เดอะเบสท์ เป็นตัวแทนรับสมัครสอบ IELTS IDP อย่างเป็นทางการ พร้อมให้คำแนะนำ และนัดวันสอบให้โดยน้องๆ ไม่ต้องเสียเวลาสมัครเอง สมัครสอบได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
- บริการซื้อประกันภัยการเดินทางและประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติ จากบริษัทประกันชั้นนำ MSIG, NIB, Allianz, Orbit และอื่นๆ
- บริการจองตั๋วเครื่องบิน ทุกสายการบิน และประสานงานกับสถาบันเกี่ยวกับรถรับ – ส่ง สนามบิน
- บริการจัดหาที่พักทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโฮมสเตย์ อพาร์ทเม้น หรือหอพักนักศึกษา จัดหาให้ตามความต้องการส่วนบุคคล
“เรายินดีที่จะดูแลนักเรียนทุกคน ตั้งแต่เริ่มต้นจนนักเรียนสำเร็จการศึกษา และทำให้การเรียนต่อของคุณเป็นเรื่องง่าย ” สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line : @thebestedu หรือคลิกเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ
2 ความเห็น
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.