สารบัญบทความ

Last updated มิถุนายน 9, 2022 ago by Thebestedu

มีนักเรียนหลายคน ที่สอบถามเข้ามาว่า “จะต้องเรียนภาษานานเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม” ซึ่งคำถามเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับผู้เรียนเป็นหลัก และปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น เคยเรียนภาษาอังกฤษ หรือมีประสบกาณร์การเรียนภาษามาบ้างหรือไม่? เคยพักอาศัยอยู่ต่างประเทศมาก่อนหรือไม่? มีเพื่อนหรือคนรู้จัก ที่เป็นชาวต่างชาติหรือไม่ รวมถึงเป้าหมายในการเรียนของคืออะไร?

ถึงแม้คำถามเหล่านี้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบได้ในทันที แต่ก็มีแนวทางในการประเมินระยะเวลาเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศ ลองทำความเข้าใจกับบทความนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินระยะเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศด้วยตนเอง

เรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศ ไม่เก่งภาษาเลย ต้องเรียนนานเท่าไหร่? เรียนคอร์สอะไร? วางแผนการเรียนอย่างไรดี?


ระยะเวลาสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แน่นอนว่าถ้าคุณเริ่มต้นด้วยความรู้ภาษาอังกฤษเป็นศูนย์ Beginner และต้องการที่จะก้าวไปสู่ระดับสูง Advanced อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการเรียนนานกว่าผู้อื่น อย่างไรก็ตามมัการวัดระดับภาษาอังกฤษ จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

เป้าหมายในการเรียนภาษาคืออะไร?

เป้าหมายในการเรียนภาษาอังกฤษ สำคัญที่สุด เป็นแรงจูงใจ แรงกระตุ้นในการเรียนภาษา โดยเป้าหมายในการเรียนภาษาของแต่ละคนแตกต่างกัน หากยังไม่ทราบถึงเป้าหมายในการเรียนภาษาของตัวเอง ลองดูแนวทางการค้นหาเป้าหมายสั้นๆ ดังนี้

  1. เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมชาติ
  2. เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้สามารถนำไปใช้ในการเรียนต่อในระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่างประเทศ หรือมหาวิทยาลัยนานาชาติได้
  3. เพื่อเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS, TOEFL, TOEIC Cambridge และข้อสอบอื่นๆ
  4. เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้สามารถนำไปใช้ในการทำงาน และเพิ่มช่องทางสายอาชีพในการทำงานให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
  5. เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียน การท่องเที่ยว และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ
  6. เพื่อเรียนรู้ ศึกษาวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ของชาวท้องถิ่นในต่างประเทศ

มีระยะเวลา และงบประมาณเท่าไหร่ ในการเรียนภาษาอังกฤษ?

การเรียนภาษาอังกฤษโดยทั่วไปแล้ว สามารถเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ ขั้นต่ำเรียน 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของแต่ละคน นักเรียนบางคนอาจใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอม 4 – 8 สัปดาห์ ในการเรียนภาษาอังกฤษ หรือบางคนอาจจะใช้เวลาหลังเรียนจบ มุ่งมั่นใจการเรียนภาษาอังกฤษ 6 เดือน – 1 ปี เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษสำหรับการทำงานในอนาคต และการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ งบประมาณในการเรียนภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน แน่นอนว่า การเรียนในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ จะได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงตามมาคือ งบประมาณในการเรียน ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป

มีประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษมาก่อนหน้านี้หรือไม่?

หากเคยเรียนภาษาอังกฤษมาก่อนอยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องเริ่มเรียนที่ระดับเริ่มต้น Beginner หรือหากพูดภาษาอื่น ที่มีคำศัพท์ และโครงสร้างใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมนี ภาษาสเปน ก็จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ไวกว่า นอกจากนี้ หากเคยอาศัยอยู่ต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ หรือประเทศออสเตรเลีย มาในระยะเวลาหนึ่ง ก็จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

รู้จักระดับภาษาอังกฤษของตัวเองก่อน โดยวัดจากเกณฑ์ CEFR

CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) คือมาตรฐานการอธิบายความเชี่ยวชาญทางภาษา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุโรป  สามารถใช้วัดระดับภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ และเป็นมาตรฐานสากล สามารถอธิบายระดับความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาได้ตั้งแต่ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น ถึงระดับเชี่ยวชาญ โดยปกติจะมี 6 ระดับ ดังนี้

A1 Elementary (ระดับเริ่มต้น)

ภาษาอังกฤษระดับเริ่มต้น สามารถเข้าใจคำศัพท์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ การพูด การฟัง การอ่าน การเรียนในระดับเริ่มต้น บนพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 0-12
  • Cambridge 100 – 120

A2 Pre Intermediate (ระดับเริ่มต้น – ระดับกลาง)

ระดับภาษาที่สามารถพูดภายใต้สถานการณ์ที่มีความคุ้นเคยได้ สามารรถเข้าใจคำศัพท์ วลีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน สามารถเขียนข้อความเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน โดยใช้โครงสร้างไวยกรณ์ขั้นพื้นฐานได้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับวลี การเปรียบเทียบเบื้องต้น ในชีวิตประจำวัน นักเรียนส่วนใหญ่ ทักษะภาษาอังกฤษจะอยู่ในระดับนี้ เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 13-36
  • IELTS 3.5 – 4.0
  • Cambridge 120 – 140 KET
  • ALTE Level 1

B1 Intermediate (ระดับกลาง)

ทักษะภาษาอังกฤษระดับกลาง สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในประเด็นต่างๆ ได้ เช่น ภาพยนตร์ เพลง รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันได้ สามารถเขียนบทความที่ใช้โครงสร้างไวยกรณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 37 – 54
  • IELTS 4.5 – 5.0
  • Cambridge 140 – 160 PET
  • ALTE Level 2
  • PTE 43 – 58

B2 Upper Intermediate (ระดับกลาง – ระดับสูง)

สามารถฟัง พูด อ่าน เขียน โดยใช้ประโยคที่ซับซ้อนได้ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย เข้าใจความหมายอุปมา อุปไมการเปรียบเทียบ สามารถสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมแสดงความคิดเห็นได้อย่างละเอียด ด้วยมุมมองที่หลากหลาย หากวางแผนเรียนหลักสูตรวิชาชีพ Vocational หรือปริญญาตรี Bechelor Degree ควรได้ระดับภาษาอังกฤษระดับนี้ เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 55 – 74
  • IELTS 5.5 – 6.0
  • Cambridge 160 – 180 FCE
  • ALTE Level 3
  • PTE 59 – 75

C1 Advance (ระดับสูง)

สามารถเข้าใจบทความทางวิชาการระดับสูงได้ สามารถเขียน และพูด ประโยคที่ซับซ้อนในสถานการณ์ที่หลากหลายได้อย่างง่ายได้ เข้าใจถึงงานเขียน วรรณกรรมต่างๆ ได้อย่างละเอียด และถูกต้อง พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลสำคัญ และสรุปใจความสำคัญได้อย่างสั้น กระชับ และเจาะจงได้ หลักสูตรปริญญาโท Master Degree หรือ ผู้ที่วางแผนเรียนหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น แพทย์ พยาบาล กฏหมาย ครู ซึ่งส่วนใหญ่ จะรับนักเรียนที่มีระดับนี้ เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 75 – 91
  • IELTS 6.5 – 7.0
  • Cambridge 180 – 200 FCE
  • ALTE Level 4
  • PTE 76 – 84

C2 Proficiency (ระดับเชี่ยวชาญ)

ระดับภาษาที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา มีความเข้าใจในภาษาพูดและภาษาเขียนที่มีความซับซ้อนได้ดี เข้าใจคำศัพท์เฉพาะทาง และสำนวนได้ดี การพูดมีความเป็นธรรมชาติ คล่องแคล่วรวดเร็ว เข้าใจภาษาอังกฤษทุกบริบท ทั้งข่าว งานเขียน วรรณกรรม บทความที่ซับซ้อน ศัพท์เทคนิค ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ และเขียนบทความต่างๆ ได้อย่างชัดเจนในรูปแบบการใช้ภาษาที่เหมาะสม ในระดับนี้ สามารถนำเสนองานวิชาการชั้นสูง การกล่าวสุนทรพจน์ การรายงานข่าวได้อย่างลื่นไหล หรืออาจเทียบเท่าได้ในระดับเจ้าของภาษา เหมาะสำหรับการเรียนต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอกบางสาขาวิชา เป็นต้น เปรียบเทียบกับคะแนนสอบดังนี้

  • TOEFL 92+
  • IELTS 7.5+
  • Cambridge 200+ CPE
  • ALTE Level 5
  • PTE 85 – 100

126130-cefr-diagram-page-001.jpg

เครื่องมือการวัดไม่ว่าจะเป็น CEFR หรือ Cambridge English เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อช่วยในการวัดระดับภาษาอังกฤษของคุณ ไม่ได้เป็นตัวการันตีความสามารถด้านภาษาอังกฤษของคุณทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเรียนภาษา มากน้อย ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เรียนเอง สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ สามารถเรียนได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป แล้วแต่พื้นฐานภาษาอังกฤษ งบประมาณระยะเวลา และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 

ทดสอบระดับภาษาอังกฤษด้วยตนเองก่อน

โดยส่วนใหญ่ นักเรียนไทยจะอยู่ที่ Elementary สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์การเรียนมาบ้างแล้วจะอยู่ที่ Pre-Intermediate หรือ Intermediate ขึ้นไป สำหรับนักเรียนที่เรียนจบจากโรงเรียนนานาชาติ ระดับภาษาอังกฤษจะอยู่ที่ Upper Intermediate ถึง Advanced

คุณอาจจะต้องวัดระดับภาษาอังกฤษของคุณก่อนด้วยตนเอง โดยวิธีการวัดระดับภาษาอังกฤษที่เป็นสากล และเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้อธิบายระดับความเชี่ยวชาญทางภาษา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทวีปยุโรป และมีการยอมรับเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

คลิก เพื่อลองทดสอบภาษาอังกฤษ CEFR ด้วยตนเอง เพื่อประมาณทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง

จะต้องเรียนภาษานานเท่าไหร่ จึงจะบรรลุเป้าหมาย ?

นักเรียนส่วนใหญ่ ที่เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ สวนใหญ่จะเรียน 6 เดือน – 1 ปี โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษต่างประเทศ จะมีมาตรฐานอยู่ที่ 10 – 12 สัปดาห์ ต่อ 1 ระดับ โดยจะเรียนอย่างน้อย 20 – 30 คาบเรียน ต่อหนึ่งสัปดาห์ หากอ้างอิงหลักสูตร 20 คาบเรียนต่อสัปดาห์ จะใช้ระยะเวลาเรียน ดังนี้

ระยะเวลาการเรียนภาษาในแต่ละระดับ

ระดับ CEFR  ระยะเวลาการเรียนภาษา
[0] Beginner => [A1] Elementary

70 ขั่วโมง (ประมาณ 4 สัปดาห์)

[A1] Elementary => [A2] Pre Intermediate

150 ชั่วโมง (ประมาณ 8 สัปดาห์)

[A2] Pre Intermediate => [B1] Intermediate

300 ชั่วโมง (ประมาณ 15 สัปดาห์)

[B1] Intermediate => [B2] Upper Intermediate

200 ชั่วโมง (ประมาณ 10 สัปดาห์)

[B2] Upper Intermediate => [C1] Advanced

200 ชั่วโมง (ประมาณ 10 สัปดาห์)

[C1] Advanced => [C2] Proficiency

200 ชั่วโมง (ประมาณ 10 สัปดาห์)

ยกตัวอย่างแผนการเรียน

A1 Elementary ไป B2 Upper Intermadiate เรียนประมาณ 38 สัปดาห์

หากระดับภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ A1 Elementary และต้องการเรียนต่อในหลักสูตร Vocational หลักสูตรสายอาชีพ Certificate Diploma หรือ ปริญญาตรี Bachelor Degree บางสาขา โดยทั่วไป จะรับนักเรียนที่อยู่ในระดับ B2 Upper Intermediate ดังนั้น จะต้องเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมด 70 + 150 + 300 + 200 = 720 ชั่วโมง หรือประมาณ 38 สัปดาห์ (หากเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์)

A1 Elementary ไป C1 Advanced เรียนประมาณ 46 สัปดาห์

หากระดับภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ A1 Elementary และต้องการเรียนต่อในระดับปริญญาโท Master Degree โดยทั่วไป จะรับนักเรียนที่อยู่ในระดับ C1 Advanced ดังนั้น จะต้องเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมด 70 + 150 + 300 + 200 + 200 = 920 ชั่วโมง หรือประมาณ 46 สัปดาห์ (หากเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์)

A1 Elementary ไป C2 Proficiency เรียนประมาณ 56 สัปดาห์

หากระดับภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ A1 Elementary และต้องการเรียนต่อในหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น แพทย์ พยาบาล โดยทั่วไป จะรับนักเรียนที่อยู่ในระดับ C2 Proficiency ดังนั้น จะต้องเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมด 70 + 150 + 300 + 200 + 200 + 200 = 1,120 ชั่วโมง หรือประมาณ 56 สัปดาห์ (หากเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์)

หมายเหตุ: การประมาณข้างต้น เป็นการประมาณเบื้องต้นเท่านั้น โดย อาจจะใช้เวลามากกว่า หรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล และสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง ไม่ได้ใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งหมด ดังนั้น ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ

เรียนหลักสูตรอะไรดี?

แต่ละโรงเรียน ก็จะมีหลักสูตรภาษาอังกฤษแตกต่างกันออกไป บางโรงเรียนมีหลักสูตรพิเศษ เช่น เรียนภาษา + คอร์สเรียนสกี หรือ ภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยแต่ละโรงเรียนจะออกแบบหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนรายบุคคล  ในบทความนี้ เดอะเบสท์ขอยกตัวอย่างหลักสูตรทั่วไป ที่โรงเรียนส่วนใหญ่เปิดสอนให้ 5 หลักสูตร ดังนี้

General English ภาษาอังกฤษทั่วไป

หลักสูตรภาษาอังกฤษทั่วไป เน้นทักษะ 4 ทักษะสำคัญ คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน และเป็นการปูพื้นฐานภาษาอังกฤษ เพื่อการเรียนในระดับที่สูงขึ้น เป็นหลักสูตรระดับเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ หรือมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว อยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้สูงขึ้น โดยปกติจะเรียน 20 – 30 ชั่วโมง / สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของบทเรียน ระยะเวลาเรียนตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ระดับ A1 Elementary

English for Academic Purposes (EAP) ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อ

หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อ เน้นการเรียนเพื่อเรียนต่อในสถาบันการศึกษาต่างประเทศ เช่น สถาบันวิชาชีพ วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เน้นการเรียนเข้มข้น เชิงลึก การพรีเซ้นท์งาน การอภิปราย เดี่ยว กลุ่ม การนำเสนองาน และอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเรียนในต่างประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับกลาง และต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ตรงตามเกณฑ์ที่สถาบันการศึกษาได้กำหนด โดยส่วนใหญ่ จะเริ่มตั้งแต่ระดับ B1 Intermediate – B2 Upper Intermediate ขึ้นไป

English for Specific Purposes ภาษาอังกฤษหลักสูตรเฉพาะทาง

หลักสูตรภาษาอังกฤษแบ่งแยกตามวัตถุประสงค์ เป็นการเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะทาง สำหรับการเรียนต่อหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น แพทย์ พยาบาล กฏหมาย วิศวกรรม ซึ่งจะเน้นไปตามวัตถุประสงค์ที่เลือกเรียน เชิงลึก เพื่อให้สามารถเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางได้ และเตรียมพร้อมเรียนในรับที่สูงขึ้น ในสาขาเฉพาะทางต่อไป หากจะเรียนหลักสูตรนี้ โดยส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นระดับ B2 Upper Intermediate ขึ้นไป

Examination Preparation (IELTS, TOEFl, TOEIC, Cambridge) ภาษาอังกฤษเพื่อการเตรียมสอบ

หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสอบ IELTS, TOEFL, TOEIC และ Cambridge โดยหลักสูตรนี้ จะเน้นการทำข้อสอบ เทคนิค และวิธีต่างๆ เช่น การ Skimming /Scanning และการเขียน Essay รวมถึงเทคนิคต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อให้ได้คะแนนสูงสุดในการสอบในเวลาที่จำกัด หลักสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับกลาง ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมตัวสอบ ELTS, TOEFL, TOEIC และ Cambridge โดยส่วนใหญ่ จะเริ่มตั้งแต่ระดับ B1 Intermediate – B2 Upper Intermediate ขึ้นไป

High School Preparation ภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าเรียนมัธยมปลาย

หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเข้าเรียนต่อมัธยมปลายต่างประเทศ สำหรับนักเรียนต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพูด ที่ต้องการเข้าเรียนมัธยมปลายที่ต่างประเทศ แน่นอนว่าจะต้องได้ภาษาอังกฤษในระดับที่อ่านออก เขียนได้ หลักสูตรนี้ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับหลักสูตรขั้นพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศที่ไปเรียนด้วย เหมาะสำหรับนักเรียนที่วางแผนเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่ต่างประเทศ แต่ขาดทักษะภาษาอังกฤษ เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ระดับ A1 Elementary

ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย เรียนต่างประเทศได้ไหม?

สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษทั่วไป General English สามารถเรียนได้เลย โดยก่อนเริ่มเรียน ทางโรงเรียนจะทำการทดสอบระดับภาษาอังกฤษของผู้เรียนอีกครั้ง และจัดกลุ่มให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีทักษะภาษาอังกฤษใกล้เคียงกัน

อายุเยอะแล้วเรียนต่อต่างประเทศได้ไหม?

โดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรภาษาอังกฤษ General English จะรับสมัครนักเรียนที่มีอายุตั่งแต่ 16 ปี ขึ้นไป (แต่บางโรงเรียนจะรับตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป) ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา แต่ห้องเรียนปกตินักเรียนมีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ถ้าหากผู้เรียนอายุมากกว่านี้ หลายๆ โรงเรียน มีหลักสูตรสำหรับผู้ใหญ่ เช่น English 30+ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาสำหรับนักเรียนที่อายุ 30 ปี ขึ้นไป นอกจากการเรียนแล้ว กิจกรรมนอกหลักสูตร ก็จะเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ เช่น กินเลี้ยงสังสรรค์ ปาร์ตี้พรมแดง งานกาลาดินเนอร์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนที่อายุเยอะแล้ว อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับด้านวีซ่า และเอกสารอาจจะเยอะกว่าปกติ เนื่องจาก สถานทูตจะถามถึงประวัติการเรียนย้อนหลัง ซึ่งแนะนำให้ปรึกษากับเอเจ้นท์ เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง


6 แนวทางการวางแผนเรียนต่อต่างประเทศ

เมื่อทราบระดับภาษาอังกฤษ และระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเรียนภาษาอังกฤษแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกประเทศ เลือกเมือง เลือกสถาบันที่อยากเรียนภาษา ซึ่งแต่ละสถาบันก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป บางโรงเรียนเน้นการเรียนแบบเข้มข้น บางโรงเรียนเน้นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย โดยอาจจะเลือกจากตัวเลือกดังต่อไปนี้

1. มีงบประมาณไว้เท่าไหร่?

งบประมาณในการเรียนภาษาต่างประเทศ อย่างน้อย 120,000 บาท – 250,000 บาท สำหรับหลักสูตร 6 เดือน หรือ 250,000 บาท – 400,000 บาท สำหรับ 1 ปี โดยค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ และค่าครองชีพก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศเช่นเดียวกัน โดยมีค่าครองชีพตั้งแต่ 25,000 บาท – 50,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายสามารถประหยัดได้ หากเลือกประเทศที่สามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ สำหรับเงินโชว์สำหรับยื่นวีซ่า แต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันไป แนะนำให้สอบถามกับผู้เชี่ยวชาญด้านวีซ่า เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง

2. เลือกประเทศที่ต้องการไปเรียนต่อ

ต้องทราบถึงวัตถุประสงค์ของการไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน ถ้าหากต้องการเรียนภาษาเพื่อเน้นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ก็ควรเลือกประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ โดย ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการมีทั้งหมด 7 ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ ประเทศไอร์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์

นอกจากนี้ อาจเลือกประเทศที่อยู่ใกล้ – ไกล หรือเวลา Time Zone นอกจากนี้ เรื่องความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน รวมถึง การขอวีซ่า ซึ่งแต่ละประเทศ ขั้นตอนการพิจารณาวีซ่า ความยากง่าย ของแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันไป แนะนำให้สอบถามกับผู้เชี่ยวชาญด้านวีซ่า เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง

3. เลือกเมืองที่ต้องการไปเรียนต่อ

หลังจากเลือกประเทศเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องเลือกเมืองที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน

  • ถ้าหากชอบเมืองขนาดใหญ่ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใช้ชีวิตแบบชุมชนเมือง ลองเลือกเมืองหลวง หรือเมืองเศรษฐกิจของประเทศนั้น นอกจากนี้ หากเลือกเมืองใหญ่อาจจะช่วยหางานพาร์ทไทม์ง่ายขึ้น หรือเหมาะสำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เช่น ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น
  • ถ้าหากชื่นชอบเมืองสไตล์ธรรมชาติ ชนบท ไม่วุ่นวาย อาจจะเลือกเมืองอื่นๆ เช่น เมืองแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นต้น ซึ่งอาจจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

4. เลือกโรงเรียนที่ต้องการไปเรียนต่อ 

เทคนิคการเลือกโรงเรียน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งหลักสูตรการเรียนการสอน ตรงกับความต้องการหรือไม่ ค่าใช้จ่าย สิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับมีความคุ้มค่าหรือไม่ สถานที่ตั้งของโรงเรียน ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะ ง่ายต่อการเดินทางหรือไม่ รวมถึง จำนวนนักเรียนในห้องเรียนกี่คน และมีการผสมผสานของสัญชาติหรือไม่

  • เลือกเรียนกับโรงเรียนที่มีหลายวิทยาเขต โรงเรียนสอนภาษาบางแห่ง เป็นโรงเรียนสอนภาษาที่มีหลายสาขาทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะแสดงถึงความมั่นคง และมาตรฐานการเรียนการสอน เช่น Kaplan International, Navitas English, ILSC, EC English และ Oxford House International เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่หลักสูตรมีมาตรฐาน มีวิทยาเขตอยู่ทั่วโลก สามารถเปลี่ยนไปเรียนประเทศอื่น ที่มีสถาบันเดียวกันได้
  • เลือกเรียนกับศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย อีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษคือ การเลือกเรียนกับศูนย์ภาษาของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ที่เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติ จะมีศูนย์ภาษาเพื่อรองรับนักศึกษา ที่มีทักษะภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ในการเข้าเรียนต่อ โดยหลักสูตรการเรียนการสอนจะเข้มข้นเป็นพิเศษ เน้นการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าโรงเรียนทั่วไป แต่จะได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของมหาวิทยาลัยด้วย เช่น ห้องสมุด สนามกีฬา โรงยิม และศูนย์กีฬา เป็นต้น

5. ต้องการทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนด้วยหรือไม่?

หากต้องการเรียนไปด้วย ทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนไปด้วย จะต้องเลือกประเทศที่อนุญาตให้ วีซ่านักเรียน สำหรับเรียนภาษา ทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ โดย ประเทศที่อนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน ที่ลงเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ สามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ มี 2 ประเทศ คือ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ 

  • ประเทศออสเตรเลีย สถานทูตออสเตรเลียอนุญาติให้ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน สามารถทำงานพาร์ทไทม์ ได้ 40 ชั่วโมงต่อสองสัปดาห์ (40 Hours / Fortnights) และสามารถทำงานเต็มเวลา ในช่วงปิดภาคการศึกษา คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
  • ประเทศนิวซีแลนด์ การทำงานพาร์ทไทม์สำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติในประเทศนิวซีแลนด์ สถานทูตกำหนดไว้ว่า สามารถทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเต็มเวลาในช่วงปิดภาคการศึกษา คลิก เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

6. ติดต่อเอเจ้นท์ที่ไว้ใจ และน่าเชื่อถือ เพื่อสอบถามข้อมูลการเรียนภาษาต่างประเทศ

ถึงแม้กระบวนการสมัครเรียนต่างๆ จะสามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่แนะนำให้ใช้บริการกับเอเจ้นท์ เพื่ออำนวยความสะดวก เนื่องจากค่าใช้จ่ายเท่ากัน ไม่มีการคิดบริการเพิ่มเติม โดยการเลือกเอเจ้นท์ เลือกจากความน่าเชื่อถือ มีการจดทะเบียนถูกต้อง มีที่ตั้ง สำนักงานชัดเจน มีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่หลากหลาย และดูน่าเชื่อถือ มีสถาบันการศึกษาที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการ ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส ไม่มีการเรียกเก็บเงินก่อนใช้บริการ

ข้อดีของการใช้บริการเอเจ้นท์

  • ให้คำแนะนำสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศโดยตรง เอเจ้นท์สามารถวางแผนการเรียนตั้งแต่การเลือกประเทศ การเลือกเมือง การเลือกหลักสูตรทั้งระยะสั้น ระยะยาว พร้อมแนะนำโรงเรียนอย่างละเอียด
  • ช่วยติดต่อ ประสานงานกับสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ แน่นอนว่า การจะติดต่อสอบถาม ค่าใช้จ่าย และอื่นๆ จะต้องสอบถามเป็นภาษาอังกฤษ โดยเอเจ้นท์จะทำการติดต่อทั้งหมด รวมถึงการสมัครเรียนด้วย
  • ช่วยวางแผนการเรียนต่อ หลังเรียนภาษา นักเรียนหลายๆ คนอาจมีเป้าหมายในการเรียนต่อ หลังจากเรียนภาษา เช่น เรียนต่อในวิชาชีพ เรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งบางมหาวิทยาลัย มีเงื่อนไข และเกณฑ์การรับเข้าที่ยาก เอเจ้นท์จะมีหน้าที่ช่วยเตรียมตัว ประสานงาน และเตรียมความพร้อม ก่อนเข้าเรียนหลักสูตรวิชาชีพ หรือปริญญาตรี
  • ช่วยเตรียมเอกสารสมัครเรียน เอกสารยื่นวีซ่า ไม่ว่าจะเป็นการกรอกใบสมัคร การเตรียมเอกสารสมัครเรียนและยื่นวีซ่าทั้งหมด การทำ Resume ซึ่งแต่ละสถาบัน จะมีเงื่อนไขการรับสมัครที่แตกต่างกัน บางสถาบัน จะต้องเขียนเรียงความ เพื่อสมัครเข้าเรียน ซึ่งเอเจ้นท์ จะมีหน้าที่ดูแล และ Review เอกสาร เพื่อให้เอกสารสมบูรณ์ที่สุด
  • ช่วยจัดหาตั๋วเครื่องบิน จัดหาที่พัก บริการรถรับส่งสนามบิน หากเป็นการเรียนต่อต่างประเทศครั้งแรก การใช้บริการเอเจ้นท์ อาจช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมาก รวมถึงนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เอเจ้นท์จะคอยจัดหาที่พักแบบ โฮมสเตย์ หรือ หอพักโรงเรียน และคอยรายงานผลการเรียนของนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบอย่างใกล้ชิด
  • ดูแลตั้งแต่เริ่มเรียน จนเรียนจบ หลังจากที่เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว เอเจ้นท์ยังดูแล และให้ความช่วยเหลือเช่นเดิม ตลอดทั้งระยะเวลาการศึกษา นักเรียนสามารถขอคำปรึกษาจากเอเจ้นท์ได้ตลอดเวลา จนนักเรียนเรียนจบ และเป็นประโยชน์อย่างมาก
  • ดูแลฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากเอเจ้นท์ ได้มีการทำ Partnership ร่วมกับสถาบันการศึกษาโดยตรง หากเลือกใช้บริการกับเอเจ้นท์ ก็มีค่าใช้จ่ายเท่ากัน แต่ได้รับการดูแล และอำนวยความสะดวกมากกว่า จึงเป็นเหตุผลที่หลายๆ คน เลือกใช้บริการเอเจ้นท์

ติดต่อเดอะเบสท์เพื่อสอบถามข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มเติม

เดอะเบสท์ เป็นศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรียนต่อต่างประเทศครบวงจร เราเป็นตัวแทนที่ให้บริการแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และ ประเทศอื่นๆ อีก 25 ประเทศทั่วโลก เรายินดีให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มสมัครเรียน จนสำเร็จการศึกษา รวมถึงดูแลนักเรียนระหว่างเรียนจนนักเรียนเรียนจบด้วยทีมผู้เชียวชาญในด้านการเรียนต่อต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ขั้นตอนเหล่านี้เราดำเนินการให้ฟรี และเราพร้อมที่จะทำตามคุณภาพ และมาตรฐานดังสโลแกนที่ว่า “We are Quality”

บริการของเรามีอะไรบ้าง ?

  • ฟรี!! บริการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศทุกระดับชั้นทั่วโลก ตั้งแต่ โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม สถาบันวิชาชีพ และสถาบันในระดับอุดมศึกษา รวมถึงหลักสูตรภาษาต่างประเทศ และเลือกสถาบันที่ดีที่สุดให้กับผู้เรียน
  • เราให้ความช่วยเหลือตั้งแต่การประสานงานโรงเรียน เลือกโรงเรียนให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน เตรียมเอกสารสมัครเรียน และดำเนินเรื่องสมัครเรียนให้ฟรี
  • บริการเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าครบวงจร และบริการยื่นวีซ่ากว่า 25 ประเทศทั่วโลก พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าอย่างตรงจุด และแนะนำวิธีการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์วีซ่า 
  • บริการแปลเอกสาร ภาษาไทย – ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอังกฤษ – ภาษาไทย รวมถึงภาษาที่ 3 เริ่มต้นเพียงแผ่นละ 200 บาท
  • เดอะเบสท์ เป็นตัวแทนรับสมัครสอบ IELTS IDP อย่างเป็นทางการ พร้อมให้คำแนะนำ และนัดวันสอบให้โดยน้องๆ ไม่ต้องเสียเวลาสมัครเอง สมัครสอบได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
  • บริการซื้อประกันภัยการเดินทางและประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติ จากบริษัทประกันชั้นนำ MSIG, NIB, Allianz, Orbit และอื่นๆ
  • บริการจองตั๋วเครื่องบิน ทุกสายการบิน และประสานงานกับสถาบันเกี่ยวกับรถรับ – ส่ง สนามบิน
  • บริการจัดหาที่พักทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโฮมสเตย์ อพาร์ทเม้น หรือหอพักนักศึกษา จัดหาให้ตามความต้องการส่วนบุคคล

 

 

“เรายินดีที่จะดูแลนักเรียนทุกคน ตั้งแต่เริ่มต้นจนนักเรียนสำเร็จการศึกษา และทำให้การเรียนต่อของคุณเป็นเรื่องง่าย ” สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line : @thebestedu หรือคลิกเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ

เพิ่มเพื่อน


 

Reference

 

 

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.