Last updated มกราคม 7, 2021 ago by Thebestedu
เปรียบเทียบ IELTS TOEFL สอบอันไหนดี รู้ให้แม่นก่อนเลือกสอบ
TOEFL และ IELTS คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษนานาชาติที่เป็นมาตรฐานของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก การสอบทั้งสองแบบนี้มีจุดที่เหมือนกันหลายประการ

ระบบคะแนน
ระดับคะแนนของ IELTS จะอยู่ระหว่าง 1 ถึง 9 ในทุกทักษะ(ฟัง พูด อ่าน เขียน) โดยระดับ 1 คือระดับต่ำสุดและระดับ 9 คือระดับสูงสุด หมายความว่าใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับดีมาก ในขณะเดียวกันคะแนน TOEFL จะแบ่งตามทักษะ และนำคะแนนรวมของทุกทักษะมาใช้เป็นคะแนนสุดท้าย ยกตัวอย่างเช่น TOEFL iBT 120 คะแนน จะแบ่งเป็นทักษะละ 30 คะแนน คะแนนรวมของทุกทักษะจะบอกถึงความถนัดทางภาษาของเราว่าได้กี่คะแนน ดูการเปรียบเทียบระบบคะแนนด้านล่าง
1. การอ่าน
IELTS
มีหัวข้อให้อ่าน 3-4 หัวข้อบทความ โดยแต่ละส่วนจะมีเวลาให้ตอบคำถาม 20 นาที แต่ละหัวข้อเป็นแนววิชาการและคำถามจะมีหลายรูปแบบมากกว่า (เติมคำในช่องว่าง, เลือกถูกผิด, multiple choice เป็นต้น)
TOEFL
ต้องอ่านบทความที่ยาวประมาณ 3-5 ย่อหน้าสั้นๆ และตอบคำถามแบบ multiple choice ภายใน 20 นาที โดยหัวข้อจะเป็นแนววิชาการ
เปรียบเทียบพาร์ท Reading
1. เวลา VS จำนวนคำถาม
อันนี้เวลารวม 60 นาที เท่ากันทั้ง TOFEL และ IELTS จำนวนจะแบ่งเป็น 3 (ถ้ายาว)– 5 (สั้นๆ) หัวข้อบทความ แต่ส่วนมากคือ 3 และแต่ละบทความจะมี 13-14 ข้อ สำหรับแง่นี้ก็เสมอกันไป
2. ประเภทแนวบทความ
บทความไอเอลจะหลากหลายกว่า มีทั้งวารสาร งานวิจัย สรุปข่าวสถานการณ์ หนังสือพิมพ์ ซึ่งออกแนวกว้างคือนอกห้องเรียนด้วย แล้วก็รอบตัวกว่า ถ้าเราค่อนข้างรู้รอบๆ ไอเอลก็น่าจะเข้าทางกว่า
บทความโทเฟลเน้นด้านวิชาการกว่าคือจะเอาบทความที่ตัดมาจากหนังสือเรียน (textbook) ซึ่งเป็นสาระที่ค่อนข้างลึกและเขียนบรรยายเชิงวิชาการ ซึ่งข้อดีก็คือ ถ้าเป็น Filed ที่เรามีความรู้อยู่บ้างก็จะโชคดีไป ข้อเสียคือ บางทีบทความอาจจะตัดมาจาก Textbook เกี่ยวกับชีววิทยา เด็กสายศิลป์ก็หงายไปตามๆกัน แต่เค้าก็พยายามจะเลือกเนื้อหาของบทความให้คละๆเรื่องไป
3. วิธีคำถามและการเฟ้นหาคำตอบ
แนวคำถามโทเฟลเน้นที่ comprehension คือ การตีความและความเข้าใจใน paragraph นั้นๆ เช่นย่อหน้านี้ สรุปว่าอย่างไร ( in the first paragraph xxx imply that xxxxคือ หน้าที่เราคืออ่านบทความ และตีความ ใน เนื้อหาตรงนั้น และเอามาตอบคำถาม
หรือโจทย์จะถามความหมายคำศัพท์ก็เป็นคำถามแบบเป๊ะๆ คือ ถ้าคุณรู้ความหมาย คุณก็ทำข้อสอบได้เลย แต่ถ้าไม่รู้ก็อาศัยอ่านประโยคบริบท แล้วก็ประมวลคำตอบได้
ซึ่งทักษะตรงนี้จะได้ใช้มากในระหว่างเรียน เพราะเราต้องอ่านหนังสือเองเยอะมาก ทั้งก่อนเรียน และหลังเรียน ถ้าเรามีทักษะการสรุปที่ดีก็จะทำให้อ่านหนังสือเร็ว และเข้าใจประเด็น ลองคิดดูว่าหนังสือหนาเท่าเต้าหู้ 5 ก้อน เค้าไม่ได้ต้องการให้เราจำให้หมด แต่ต้องการให้เรารู้ทฤษฎีวิธีคิดเพื่อเอาไปถกว่าดีหรือไม่ดี มันเหมาะกับอะไร และจะเอาไปใช้จริงได้ยังไง ตรงนี้ที่นักเรียนไทยตกม้าตายกันมาหเพราะระบบการเรียนของเมืองนอกต่างจากบ้านเรายิ่งนัก คือ เถียงอาจารย์ได้เลยแต่ต้องมาพร้อมเหตุผล
ในขณะที่แนวคำถามไอเอล จะเน้นการตีความมากกว่าทั้งคำถามและคำตอบ คำถามต้อง อ่านดีๆว่าเค้าถามอะไร เช่นบางทีไม่ถามตรงๆถามความรู้สึกของผู้เขียน ส่วนการหาคำตอบก็ต้องอ่านวนๆ หลายๆรอบว่า Keyword หรือเรื่องที่ถามอยู่ตรงบรรทัดไหน จะใช้เวลาในการขบคำตอบนานกว่า เพราะเรามีเวลาที่จำกัด
อันนี้ถ้าเรามี Sense เรื่องการเชื่อมโยงหน่อยเหมือนการเล่น puzzle ที่บางทีคำตอบไขว้ไปมาไม่ได้มองเห็นตรงๆก็อาจจะรู้สึกว่าง่ายกว่า
2. การฟัง
TOEFL
มีเวลาให้ฟัง 40-60 นาที โดยอาจเป็นบทสนทนาหรือการบรรยาย ซึ่งเราจะต้องตอบคำถาม multiple choice ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
IELTS
การฟังของ IELTS จะต้องตอบคำถามหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะต้องฟังและตอบคำถามไปพร้อมๆ กัน ส่วนความยาวของการสอบจะไม่แน่นอน เปลี่ยนไปตามบทสนทนา
เปรียบเทียบพาร์ท listening
โทเฟล เน้นฟังโดยไม่มีคำถามหรือตัวข้อสอบให้เห็นก่อน ซึ่งความท้าทายก็คือการจับใจความ และ โดยหัวข้อจะเป็นเรื่องทั่วไปเช่นชีวิตประจำวันบ้าง บทสนทนาในชีวิตประจำวัน มาตอบโจทย์ซึ่ง ใช้ทักษะการสรุปเนื้อหาเป็นหลัก อันนี้ต้องอาศัยฝึกฟังเยอะๆ
แต่ไอเอลจะได้เห็นโจทย์ก่อน ซึ่งเป็นข้อดีเพราะจะทำให้เราเตรียมหูได้ถูกว่าเรื่องจะเกี่ยวกับอะไร และคำถามที่ต้องตอบคืออะไร แต่ก็อย่าไปยึดติดมากเพราะบางทีก็ยังมีเรื่องของการตีความเข้ามาเกี่ยวด้วย จะมีคำถามที่ถามเกี่ยวกับคำศัพท์ว่าแปลว่าอะไรอยู่หลายข้อ ถ้าหากเรารู้ Vocabulary เยอะก็จะช่วยได้มาก
สิ่งที่ควรระวัง
อย่าพะวงกับคำถามมากเกินไปจนทำให้ลืมฟังเรื่อง ให้อ่านโจทย์อย่างรวดเร็วให้เข้าใจก็พอ แล้วใช้สมาธิกับการฟังดีกว่า
หากเลือกสอบไอเอล แนะนำฝึกเรื่อง คำศัพท์ (Vocabulary) ซึ่งเด็กไทยมักจะมีปัญหาเรื่องการยึดติดกับคำแปล เพราะเรียนศัพท์จากการท่องจำ คำแนะนำคือ ให้อ่านเยอะจากสื่อภาษาอังกฤษหลายๆแบบ สื่ออื่นๆที่ไม่ใช้หนังสือเรียนช่วยได้มาก แมกกาซีนพวก Reader Digest ดูหนังก็ปิดซับรอบแรก เปิดซับรอบสอง และอ่านหนังสือพิมพ์ก็ช่วยได้มากและจะพัฒนาได้เร็วกว่า Skill อื่นๆ เพราะ หัวข้อในข้อสอบฟังเป็นเรื่องทั่วๆไปที่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่อง มีเวลาพัฒนาทักษะน้อยไปซะมากกว่า ซะมากกว่า
หากไม่รู้จริงๆในเวลาสอบให้ ดูบริบทแล้วพยายามตีความกว้างๆ หาเป็นความหมายในทางบวก หรือลบ แปลว่าน้อยหรือมาก ถึงเวลาเรียนจริงไม่มีใครรู้คำศัพท์ทุกคำ หรอกรับรอง จากประสบการณ์พาร์ทฟังเป็นส่วนที่ จะเพิ่มคะแนนได้ง่ายที่สุด เพราะคำถามไม่ได้ยาก วิธีการถามก็ไม่ได้ซับซ้อน เช่นเติมคำศัพท์ลงในช่องว่าง
ถ้าใครที่คิดว่าหูไปไม่ไหวจริงๆ แบบว่าฟังแล้ววืดไปหมก ก็แนะนำโทเฟลเพราะจะเป็นช้อยส์ทั้งหมดก็ใช้วิธีตัดช้อยเอา
ข้อคิด
การอ่านเฉยๆนั้นไม่รอดนะจ๊ะ ต้องอ่านแล้วลองทำข้อสอบเองดูด้วย เพราะเราอาจจะมีทักษะที่แข็งในด้านหนึ่ง แต่อาจจะอ่อนกว่าในด้านอื่นๆ เวลาไปเจอกับข้อสอบจริง ผลเลยออกไม่เป็นอย่างที่คิด
3. การเขียน
TOEFL
การเขียนทั้งหมดจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ Lesson 1 จะระบุให้เราเขียนเรียงความประมาณ 5 ย่อหน้า ยาว 300 – 350 คำ ในส่วนที่สองเราจะต้องอ่านบทความและฟังการบรรยายในหัวข้อที่กำหนด จากนั้นค่อยเขียนเรียงความยาว 150 – 225 คำ ตามโจทย์ที่กำหนด
IELTS
การเขียน Part 1 จะให้เราเขียนอธิบายข้อมูลที่เห็น ซึ่งอาจเป็นตาราง กราฟ หรือแผนภาพต่างๆ โดยในส่วนนี้จะให้เขียน 200 – 250 คำ ในส่วนที่ 2 จะต้องเขียนเรียงความแสดงความคิดเห็นต่อหัวขอที่เป็นที่ถกเถียงกัน ยาวประมาณ 300 คำขึ้นไป
4. การพูด
TOEFL
เราจะต้องตอบคำถามกับคอมพิวเตอร์โดยมีเวลาประมาณ 45 – 60 วินาที ซึ่งจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับบทสนทนาหรือคำบรรยายสั้นๆ 6 คำถาม ใช้เวลา 20 นาที
IELTS
การพูดของ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 12 – 14 นาที โดยเราจะต้องพูดกับกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติโดยตรง การพูดจะเริ่มด้วยการแนะนำตัว ตอบคำถามจากภาพหรือหัวข้อที่ทางกรรมการกำหนดและจบลงด้วยการอภิปรายหัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงกัน
เทียบคะแนน IELTS และ TOEFL (เป็นเพียงการอ้างอิงเท่านั้น)
IELTS TOEFL (paper-based) TOEFL (internet-based)
4.5 477 53
5.0 500 61
5.5 527 71
6.0 553 82
6.5 580 92
7.0 617 105
ความนิยมของการสอบ IELTS และ TOEFL
ตามปรกติแล้วการสอบ IELTS จะเป็นที่นิยมมากกว่าในสหราชอาณาจักรและยุโรป ส่วน TOEFL จะเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา แต่ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เริ่มยอมรับผลการสอบทั้งสองแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ดังนั้นเราจะเลือกสอบอะไรก็ได้
เวลาในการสอบ
การสอบ TOEFL จะกินเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง โดยระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เวลามีความแน่นอน ส่วนการสอบ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที รวมถึงเวลาที่สอบพูดกับกรรมการด้วย เราสามารถฝึกทำข้อสอบให้เคยชินได้ที่เว็บไซต์ทางการของ IELTS และ TOEFL ก่อนไปสอบจริง
จะสอบอะไรดีล่ะ? IELTS หรือ TOEFL?
เราแนะนำให้น้องๆ เลือกสอบตามความถนัดของตัวเองดีกว่าค่ะ โดยอาจจะคำนึงถึงหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้
- การออกเสียงแบบ British หรือ American: ถ้าเราคุ้นเคยกับสำเนียง American อาจจะรู้สึกว่าสำเนียงอังกฤษในการสอบ IELTS ฟังยากกว่านิดหน่อย ถึงจะแตกต่างกันไม่มากแต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนการฟังของเราได้
- รูปแบบการสอบและการเขียนเรียงความ: สำหรับคำถามแบบ multiple choice ของ TOEFL เราอาจต้องมีการให้เหตุผลและความสามารถในการจินตนาการซักหน่อย ส่วนการสอบ IELTS จะเน้นให้ตอบคำถามแนวเรียงความ เช่นการฟังและเติมคำในช่องว่าง หรือหาคำตอบจากการอ่าน/บทสนทนา ซึ่งเน้นความจำที่ดีและการจดโน้ตในสิ่งที่สำคัญ
- การถามคำถาม: ในการสอบ TOEFL จะมีเพียงคำตอบที่ถูกหรือผิด ในขณะที่การสอบ IELTS มีตัวเลือกเช่น “ไม่ได้พูดถึงข้อมูลดังกล่าว” (information was not mentioned) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหากถูกถามให้อภิปรายหัวข้อในการสอบ
- รายละเอียด: ในการสอบ TOEFL หลายๆ คนบอกว่าถึงแม้จะใช้แกรมม่าผิดไปบ้าง แต่ถ้าบทความได้รับการพูดถึงอย่างละเอียดและมีคำศัพท์ที่ถูกต้องก็ยังได้คะแนน แต่ถ้า IELTS จะต้องเป๊ะทุกรายละเอียดทั้งรูปแบบการเขียนและคำศัพท์ด้วย
ที่มา:
เว็บไซต์: http://www.hotcourses.in.th